วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Christmas Day


"Christmas Day" redirects here. For other uses, see Christmas (disambiguation) and Christmas Day (disambiguation).Christmas[2] or Christmas Day[3][4] is an annual Christian holiday commemorating the birth of Jesus Christ.[5][6] It is celebrated on December 25, but this date is not known to be Jesus' actual birthday, and may have initially been chosen to correspond with either the day exactly nine months after some early Christians believed Jesus had been conceived,[7] a historical Roman festival,[8] or the date of the northern hemisphere's winter solstice.[9] Christmas is central to the Christmas and holiday season, and in Christianity marks the beginning of the larger season of Christmastide, which lasts twelve days.[10]

Although traditionally a Christian holiday, Christmas is also widely celebrated by many non-Christians,[1][11] and some of its popular celebratory customs have pre-Christian or secular themes and origins. Popular modern customs of the holiday include gift-giving, music, an exchange of greeting cards, church celebrations, a special meal, and the display of various decorations; including Christmas trees, lights, garlands, mistletoe, nativity scenes, and holly. In addition, Father Christmas (known as Santa Claus in some areas, including North America, Australia and Ireland) is a popular mythological figure in many countries, associated with the bringing of gifts for children.[12]

Because gift-giving and many other aspects of the Christmas festival involve heightened economic activity among both Christians and non-Christians, the holiday has become a significant event and a key sales period for retailers and businesses. The economic impact of Christmas is a factor that has grown steadily over the past few centuries in many regions of the world.

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของกุยช่าย

แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่าย มีใยอาหารมาก จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี

แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียด แล้วพอกบริเวณที่มีอาการ เพื่อบรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้

แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทาน หรือจะทำเป็นยาเม็ดรับประทานก็ได้

รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู

บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่า แม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักกุยช่าย จะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานผักกุยช่ายกันดีกว่า.

ประโยชน์ของกุยช่าย

แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่าย มีใยอาหารมาก จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี

แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียด แล้วพอกบริเวณที่มีอาการ เพื่อบรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้

แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทาน หรือจะทำเป็นยาเม็ดรับประทานก็ได้

รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู

บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่า แม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักกุยช่าย จะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานผักกุยช่ายกันดีกว่า.

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

7 สุขนิสัยที่ต้องเข้าใจให้ถูก

7 สุขนิสัยที่ต้องเข้าใจให้ถูก
คนสมัยนี้ได้รับความรู้เรื่องสุขนิสัย สุขบัญญัติจากโรงเรียน จากสื่อ จากเพื่อนร่วมงาน ร่วมก๊วนกอล์ฟ ก๊วนเทนนิส ก๊วนซิ่ง และจากคนข้างบ้าน



พล.ต.ต.นพ.นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์

คนส่วนมากไม่ว่าจะเป็นไทย จีน ญี่ปุ่น แขก ฝรั่ง ต่างก็มีความโน้มเอียงจะเชื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์กันทั้งนั้น ทำให้มีมิจฉาทิฐิในเรื่องต่างๆ มากมายโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ เพราะทุกคนสนใจอยากจะมีสุขภาพดีมีความสุขมากๆ ตลอดไป ลองคิดดูว่าท่านมีมิจฉาทิฐิต่อไปนี้บ้างหรือไม่?

Q: ล้างมือด้วยสบู่ยาดีไหม?
A: การล้างมือเป็นสุขนิสัยที่ดีอย่างหนึ่ง เนื่องจากการติดเชื้อทางมือเป็นสาเหตุสำคัญมากอย่างหนึ่งของการเจ็บป่วย เช่น การติดโรคหวัด แผลผ่าตัดเป็นหนอง โรคท้องร่วงจากอาหาร ฯลฯ การล้างมือที่ถูกหลักเกณฑ์จึงเป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อทางมือที่ดีอย่างหนึ่ง หลายคนจึงมีความคิดต่อไปว่าการล้างมือด้วยสบู่ยาฆ่าเชื้อจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่าการล้างด้วยสบู่ธรรมดา แต่ปรากฏจากข้อมูลของกรมควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาว่าการใช้สบู่ยาฆ่าเชื้อที่มีขายในท้องตลาดไม่ได้ดีกว่าสบู่ธรรมดาเลย แถมยังฆ่าได้เฉพาะเชื้อโรคอ่อนๆ ปล่อยให้ตัวร้ายๆ แพร่พันธุ์ต่อไป เขาพบว่าการล้างมือที่ได้ผลดีและทำง่าย คือ การใช้แอลกอฮอล์ 70% (alcohol handrub ซึ่งผสมสารถนอมผิวด้วย) ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อได้มากมายกว้างขวาง เขาว่าแทบจะไม่มีเชื้อดื้อต่อมันเลย แต่อย่างไรก็ตามถ้าไม่มีสารอะไรช่วยเลย การใช้น้ำก๊อกธรรมดาล้างมือก่อนกินอาหารก็ยังดีกว่าไม่ได้ล้าง


Q: กินอาหารไขมันต่ำดีจริงไหม?
A: หลายคนคงเคยได้ยินได้อ่านมาว่าการกินอาหารไขมันต่ำช่วยลดน้ำหนัก บางคนจึงกินอาหารไขมันต่ำมาตลอด โดยไม่มีความเข้าใจเรื่องโภชนาการอย่างครบถ้วน ความอ้วนเกิดจากการกินอาหารมาก ออกกำลังน้อย การกินอาหารมาก หมายถึงการกินแคลอรีมาก แคลอรีไม่ได้มาจากไขมันอย่างเดียว อาหารเกือบทุกอย่างมีแคลอรี การลดไขมันต่ำมากๆ แต่ยังกินแป้งและน้ำตาลมากเกินก็ย่อมทำให้เกิดการสะสมและเปลี่ยนแปลงไปเป็นไขมันพอกพูนในร่างกาย เคยมีการศึกษาติดตามพยาบาลจำนวนหลายพันคนที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 8 ปี โดยให้กินอาหารไขมันต่ำเปรียบเทียบกับการกินอาหารธรรมดา เมื่อเสร็จการศึกษาติดตามเขาสรุปว่าการกินอาหารไขมันต่ำหรืออาหารที่ไม่มีไขมันเลย ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนัก (ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะกินอาหารอย่างอื่นมากเกินไปและออกกำลังกายน้อยกว่าที่ควร) ไขมันทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น กินอร่อยขึ้น และไขมันบางอย่างไม่มีผลเสียมาก (ยกเว้นแคลอรีสูง) เช่น น้ำมันมะกอก ถ้าเอาไปปรุงอาหารหรือใช้ราดสลัดจะทำให้กินสลัดได้อร่อยขึ้น กินผักได้บ่อยขึ้นมีผลดีต่อสุขภาพ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าน้ำมันพืชชนิดไหนดีต่อสุขภาพ ควรละเว้นน้ำมันพืชที่ก่อให้เกิดโคเลสเตอรอลซึ่งทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตัน เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม น้ำมันจากสัตว์ และควรคำนึงถึงมวลรวมของแคลอรีจากอาหารที่กินทั้งหมด แล้วควบคุมให้อยู่ในพิกัด เขาว่าไม่ควรกินน้ำมันเกิน 30% ของแคลอรีจากอาหารทั้งหมด


Q: กินแครอทแล้วสายตาดีจริงหรือไม่?
A: แครอทมีวิตามินเอสูง และวิตามินเอมีส่วนทำให้การมองเห็นเป็นปกติ แต่ร่างกายต้องการวิตามินเอเพื่อการมองเห็นปกติจำนวนน้อยๆ เท่านั้น ไม่ควรเชื่อว่าการกินแครอทเพื่อจะได้รับวิตามินเอจำนวนมาก จะช่วยให้สายตาดีขึ้นกว่าปกติ หรือเพื่อจะได้ไม่ต้องใส่แว่นสายตา ที่จริงแล้วการกินวิตามินเอ (ที่ทำเป็นยาเม็ด) จำนวนมากๆ อาจจะเป็นพิษ ความเชื่อเรื่องกินแครอทแล้วสายตาดีมีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยนั้นวงการสืบราชการลับอังกฤษแกล้งปล่อยข่าวให้ไปเข้าหูศัตรูในตอนที่กองทัพอากาศเยอรมันโหมทิ้งระเบิดเกาะอังกฤษว่า การที่นักบินอังกฤษสามารถมองเห็นเครื่องบินเยอรมันในเวลากลางคืนเนื่องจากนักบินอังกฤษกินแครอทมากทำให้สายตาดี ทั้งนี้เพื่อปกปิดความจริงที่ว่ากองทัพอังกฤษสามารถสร้างระบบเรดาร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นมาได้ ทำให้เห็นเครื่องบินเยอรมันได้ดีขึ้น


Q: สารต้านอนุมูลอิสระดีจริงหรือ?
A: ปัจจุบันมีการพูดถึงทฤษฎีอนุมูลอิสระกันมาก อ้างว่าอนุมูลอิสระมีผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้นสารต้านอนุมูลอิสระจึงมีผลดีในการชะลอความแก่ ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันมะเร็ง ฯลฯ แต่เมื่อมีการผลิตยาเม็ดอนุมูลอิสระขึ้นมา และคนใช้มากขึ้นๆ ปรากฏว่าไม่ได้ผลดีดังหวัง มีการศึกษามากมายที่แสดงให้เห็นว่ามีคนกินสารเสริมต้านอนุมูลอิสระไม่ได้รับผลดีแต่ประการใด และบางการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการกินสารต้านอนุมูลอิสระทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ การศึกษาของสถาบันมะเร็งสหรัฐฯ ในปี ค.ศ.1992 ต้องยุติลงก่อนกาลหลังจากนักวิจัยพบว่าคนที่กินสารต้านอนุมูลอิสระเกิดมะเร็งปอดมากกว่าคนกินยาหลอก จนถึงปัจจุบันนี้ทฤษฎีอนุมูลอิสระยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่


Q: ดื่มน้ำวันละ 8 แก้วเพื่อสุขภาพ จำเป็นไหม?
A: นักวิชาการหลายคนพูดถึงเขียนถึงกันมากว่าควรกินน้ำวันละ 8 แก้วเพื่อสุขภาพ เนื่องจากน้ำเข้าไปล้างพิษในร่างกาย แต่ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นอย่างนั้นเลย สำหรับคนบางคนการกินน้ำมากอย่างนั้นอาจจะมีผลเสีย เพราะดื่มน้ำเข้าไปมากอาจจะไปทำให้เป็นพิษ ทำให้ระดับโซเดียมต่ำเป็นอันตราย ในปี ค.ศ.2002 หมอผู้เชี่ยวชาญทางโรคไตได้พยายามอย่างมากในการค้นคว้าหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ เพื่อดูว่ามีข้อมูลสนับสนุนการดื่มน้ำวันละ 8 แก้วมีจริงหรือเปล่า และต้นตอของเรื่องนี้มันมาจากไหน แล้วตีพิมพ์บทความใน American Journal of Physiology ปรากฏว่าไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนความหลงผิดนี้เลย จริงอยู่แม้ว่าคณะอนุกรรมการโภชนาการของคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสหรัฐอเมริกาจะแนะนำว่า ร่างกายเราต้องการน้ำ 1 ลบ.ซม. ต่ออาหารที่เรากินเข้าไป 1 แคลอรี คนทั่วไป จึงต้องการน้ำประมาณ 10 แก้ว แต่น้ำส่วนใหญ่มีอยู่ในอาหารที่เรากินเข้าไปอยู่แล้ว ไม่ต้องไปดื่มเพิ่ม การหลงผิดดื่มน้ำมากเกินไปอาจจะเกิดปัญหา เช่น นักมวยดื่มน้ำมาก กระเพาะปัสสาวะป่องขณะต่อย เขาไม่อนุญาตให้ไปเข้าห้องน้ำระหว่างยกเหมือนนักเทนนิส นักมวยคนนั้นอาจจะเป็นอันตรายจากการถูกต่อยกระเพาะปัสสาวะแตกก็เป็นได้ ความหลงผิดเรื่องล้างพิษอาจจะมีพิษภัยมาก


Q: ครีมกันแดดต้านมะเร็งได้ไหม?
A: ครีมกันแดดส่วนมากต้านมะเร็งไม่ได้ผลดี เนื่องจากใช้กันผิดๆ หมอฟรานซิสกา ฟุสโก โฆษกของมูลนิธิโรคมะเร็งผิวหนังสหรัฐอเมริกา กล่าวว่าคนส่วนมากใช้ครีมกันแดดไม่มากพอ ใช้ไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้ใช้ตั้งแต่อายุน้อย และไม่ได้ใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เขาแนะนำว่าควรใช้ครีมใต้เมคอัพ ควรทาให้ทั่วตัว ควรทาในร่มผ้าด้วย และควรรอเวลาประมาณ 30 นาทีหลังทาก่อนจะไปโดนแดด ควรใช้ครีมชนิดที่สาร mexoryl ซึ่งป้องกันทั้งรังสีอัลตราไวโอเล็ตชนิด บี และ เอ (UV B และ UV A) ครีมส่วนใหญ่ที่ใช้ๆ กันป้องกันได้แต่อัลตราไวโอเล็ตชนิดบี แต่ชนิดเอก็อันตรายเช่นกันโดยที่ไม่ทำให้ผิวไหม้แดด คนทั่วไปจึงไม่รู้ เขาว่าถ้าจะใช้ครีมกันแดดป้องกันมะเร็งต้องใช้ให้ถูกนะครับ


Q: อาหารเสริม สมุนไพรธรรมชาติ
A: บริษัทผลิตสารเสริมอาหารทั้งในไทยและเทศชอบโฆษณาว่า อาหารเสริมของเขาเป็น สมุนไพร หรือ ธรรมชาติ นัยว่าเป็นสิ่งที่ปลอดภัยและมีประโยชน์สูง คนส่วนมากก็เชื่อผิดๆ อย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่เป็นสมุนไพรหรือธรรมชาติอาจจะมีอันตรายมาก เครือข่ายสุขภาพแห่งชาติของแคนาดาได้รณรงค์ให้การศึกษาแก่ประชาชนของเขาในเรื่องนี้ เขาสอนว่าสารธรรมชาติบางอย่างอาจจะเป็นพิษถ้าบริโภคมากไป บางอย่างอาจจะทำให้แพ้ บางอย่างอาจจะเข้าไปมีปฏิกิริยากับยาที่กินอยู่ทำให้เกิดผลเสีย บางอย่างอาจจะมีผลเสีย เช่น ต่อคนตั้งครรภ์หรือคนที่เป็นโรคหัวใจ ฉลากข้างกล่องบรรจุภัณฑ์สารเสริมอาหารได้รับการตรวจสอบ แต่ที่สหรัฐฯ ไม่ได้ตรวจสอบเข้มงวด คิดว่าในเมืองไทยก็คงจะไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอในการตรวจสอบเนื่องจากไม่ใช่ยาจึงไม่เข้มงวดมาก ผู้บริโภคก็คงต้องตัวใครตัวมันว่างั้นเถอะ!


ในยุคสมัยน้ำมันแพงค่าแรงถูก เงินเดือนต่ำ คนธรรมดาอย่างเราต้องอาศัยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประหยัดและอดออม อย่ายอมตัวเป็นเหยื่อโฆษณา รักษาเงินที่หายากเอาไว้ให้นานที่สุด


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สารอาหารแห่งอนาคต

เมื่อคุณเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เกต หรือร้านขายของชำ อาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีการโฆษณาว่าใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ให้สารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีประโยชน์ต่อร่างกาย ประกอบกับดีไซน์บรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม พกพาสะดวก ยกตัวอย่างเช่น อุดมไปด้วยวิตามิน กากใยอาหาร ฯลฯ ซึ่งเบื้องหลังของสินค้าอาหารและเครื่องดื่มนานาสรรพคุณ น่าอร่อย น่าลองนี้ก็คือ อาหารฟังก์ชัน (Functional food)


ที่ผู้ผลิตในปัจจุบันพยายามเพิ่มหรือเติมสารอาหารที่สังเคราะห์มาจากวัตถุดิบทางธรรมชาติลงไปในอาหารหรือเครื่องดื่มธรรมดา ให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ซื้อที่วิ่งตามกระแสสุขภาพ อยากลดความเสี่ยงของการเกิดโรค จึงไม่น่าแปลกว่าธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และก็มีคนคาดการณ์ว่า ธุรกิจสายนี้มีส่วนแบ่งตลาดโลกถึง 10,000 ล้าน-20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี!

ต้นกำเนิดของเทรนด์อาหารฟังก์ชัน ประเทศแถบเอชียมีอาหารทำนองนี้มานานแล้ว แต่อยู่ในรูปแบบอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรต่างๆ เพื่อป้องกันและรักษาโรคมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น อาหารจีนที่ใช้เครื่องเทศหลากหลายชนิด แต่การเปิดเผยและใช้คำว่าอาหารฟังก์ชันมีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศญี่ปุ่นในยุค 80 เมื่อรัฐบาลเห็นชอบและสนับสนุนให้ทุนเพื่อวิเคราะห์และพัฒนาสารอาหารที่ได้จากสัตว์ พืชหรือแบคทีเรียว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ซึ่งตอนนั้นเรียกกันว่า อาหารเพื่อประโยชน์เฉพาะต่อสุขภาพ หรือ FOSHU และเมื่อ ค.ศ.1988 ประเทศแคนาดาและสวีเดนก็ออกกฎหมายแจ้งให้ผลิตภัณฑ์อาหารใดๆ ที่ใช้สารอาหารแบบนี้ต้องติดฉลากแจ้งบนสินค้า จนถึงปัจจุบันเทรนด์อาหารก็ขยายเข้าสู่การแข่งขันของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างรุนแรง ซึ่งประเด็นหลักของจุดขายใหญ่ก็คือ นำเสนอความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด เน้นผลประโยชน์ด้านสุขภาพ ป้องกันโรคต่างๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชะลอแก่) และสุดท้ายหาซื้อได้สะดวก รับประทานหรือดื่มได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น น้ำผลไม้ นม กาแฟ เครื่องดื่มธัญพืช เครื่องดื่มสำหรับนักกีฬา เป็นต้น

ส่วนประเภทของอาหารฟังก์ชัน เราสามารถแบ่งออกตามลักษณะของแหล่งที่มาได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ นั่นคือ สารอาหารที่มาสัตว์ แบคทีเรียและพืชผักผลไม้ต่างๆ


1. สารอาหารที่ได้จากสัตว์ สารอาหารที่ได้รับการเติมลงในผลิตภัณฑ์มากและได้รับความนิยมก็คือ

โอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 คุณสามารถเห็นสารอาหารเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์อาหารตลาดกลุ่มเด็ก วัยทำงานและผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นกลุ่มกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการ นั่นคือ กรดไลโนเลอิก (linoleic acid) เป็นกรดไขมันชนิดโอเมก้า-6 (omega-6) และกรดอัลฟ่าไลโนเลนิก (-linolenic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 (omega-3) กรดไขมันทั้ง 2 ชนิดเป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่ม eicosanoid ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 มีผลลดการอักเสบเมื่อเทียบกับกรดไขมันชนิดโอเมก้า-6 จึงอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) และกรดไขมันชนิดนี้ก็ยังช่วยลดการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้ด้วย นอกจากนี้ กรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 ที่พบมากในปลาทะเล (Eicosapentaenoic acid, EPA และ Docosahexaenoic acid, DHA) ยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เป็นการลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด

แคลเซียม เป็นสารอาหารที่คนส่วนใหญ่รู้จักอย่างดี เพราะช่วยในการสร้างเสริมกระดูกและฟันให้แข็งแรง ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีแคลเซียมมักจะเสริมวิตามินดี และวิตามินเค เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและสร้างเนื้อเยื่อกระดูก ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน

กลุ่มวิตามินบี ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 ไนอาซิน บี 6 บี 12 แพนโธทีนิก และกรดโพลิค (Pholic) มีผลต่อสมาธิ ความคิด ความจำและความฉลาด อาหารในกลุ่มนี้ช่วยป้องกันสมองเสื่อม โดยเฉพาะกรดโพลิค วิตามินบี 6 บี 12 จะช่วยกันทำงานป้องกันการลดระดับของฮอร์โมนซีสเตอีนในเลือด ทำให้ความจำ การเรียนรู้ ไม่ล่าถอยลง มีในอาหารประเภทนมและผลิตภัณฑ์นม และอาหารทะเล

กรดไลโนเลอิค และกรดไลโนเลนิค เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายได้จากอาหารเท่านั้น ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ จึงต้องหามาจากอาหารซึ่งมีจำนวนน้อย นอกจากจะพบในพืชแล้วยังมีในปลาทะเล มีประโยชน์ในการควบคุมระบบความดันโลหิต ควบคมระดับไขมันในเลือด ระบบฮอร์โมนต่าง ๆ ลดการอักเสบที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือติดเชื้อ ทางด้านสุขภาพจึงนำมาใช้ควบคุมด้านสุขภาพของระบบเส้นเลือด แล้วยังใช้ในสุขภาพผิวอีกด้วย ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้จะทำให้ผิวสดชื่น ไม่แห้งหยาบ คัน หรือลดการเป็นจุดด่างดำ โดยเฉพาะสตรีที่มีอายุมากขึ้น

กรดอะมิโนและโปรตีนเวย์ มีผลในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โปรตีนจากนมในส่วนที่เรียกว่า โปรตีนเวย์ (whey protein) ซึ่งประกอบไปด้วยกรดอะมิโนจำเป็น ช่วยในการสร้างกลูตาไธโอน (glutathione) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติในร่างกาย ในน้ำนมแม่มีโปรตีนเวย์อยู่ในปริมาณสูง จึงอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทารกที่กินนมแม่มักไม่ค่อยเจ็บป่วยง่าย กรดอะมิโนอาร์จินีนและกลูตามีนมีบทบาทต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกลูตามีนเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน การให้กลูตามีนเสริมในผู้ป่วยหนักที่ต้องให้อาหารทางหลอดเลือดดำเป็นเวลานาน พบว่าช่วยให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในทางเดินอาหารดีขึ้นและลดการติดเชื้อได้


2. แบคทีเรีย เป็นแบคทีเรียสุขภาพที่ดีพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และขับถ่ายของมนุษย์

พรีไบโอติก (Prebiotics) คือ ส่วนของอาหารที่ไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร ซึ่งมีผลทำให้กระตุ้นการเจริญของแบคทีเรียบางชนิดในลำไส้ใหญ่หรือโพรไบโอติกนั่นเอง การหมักพรีไบโอติกจะได้กรดไขมันชนิดสายสั้น เช่น อินูลิน ฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ กาแลกโตโอลิโกแซกคาไรด์ ช่วยปรับสมดุลการขับถ่ายและด้วยคุณสมบัติเหมือนใยอาหารพรีไบโอติกก็จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูก เนื่องจากผลของการเพิ่มน้ำหนักของอุจจาระและผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้จึงช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น และยังช่วยดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดได้ เช่น แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม และสังกะสี

โพรไบโอติก (Probiotics) กลุ่มของจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งเข้าไปอยู่ในระบบของร่างกายมนุษย์และสัตว์ แล้วก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ โดยจุลินทรีย์สุขภาพนั้นทำหน้าที่ช่วยปรับสมดุลของสภาพแวดล้อมในระบบลำไส้เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยปรับสมดุลของสภาพแวดล้อมในระบบลำไส้ ช่วยป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ชนิดก่อโรคมาเกาะติดผนังลำไส้ และหลั่งสารพิษที่มีผลทำให้เยื่อบุลำไส้อักเสบได้ เพิ่มความแข็งแรงของผนังลำไส้ ช่วยลดความรุนแรงของอาการท้องเสีย โดยลดระยะเวลาของโรคและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยบรรเทาอาการไม่ทนต่อแลคโตส (Lactose intolerance) เนื่องจากแลคโตสไม่สามารถถูกย่อย ดังนั้นหลายคนที่ดื่มนมแล้วจึงเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเดิน ปวดท้อง โพรไบโอติกในอาหารประเภทนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตสามารถช่วยบรรเทาอาการนี้ได้ เนื่องจากโพรไบโอติกได้ช่วยย่อยแลคโตสไปแล้วในระหว่างการหมัก จึงทำให้มีแลคโตสเหลือน้อยกว่าหรือไม่มีเลย

แลคโตบาซิลลัส และเสต็ปโตคอกคัส เป็นแบคทีเรียยอดนิยมในอาหารประเภทนมเปรี้ยวและโยเกิร์ตต่าง ๆ บางสายพันธุ์อาจช่วยให้ระบบลำไส้แข็งแรงขึ้น และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งบางชนิด อีกทั้งยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในคนบางกลุ่ม แต่จะทำงานได้ดียิ่งขึ้นถ้าได้รับแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินบี 2 ฟอสฟอรัส และโพรไบโอติกร่วมด้วย


3. จากพืช ผักและผลไม้ ได้แก่ กากใยอาหาร วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่คนเราต้องการในแต่ละวัน แม้จะต้องการปริมาณไม่มากแต่ก็ขาดไม่ได้ และกลุ่มวิตามินป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี หรือศาสตร์ชะลอแก่ พวกแอนติออกซิแดนซ์ ก็กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนี้ ยกตัวอย่างเช่น

คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของผิวหนัง ทำหน้าที่ป้องกันอวัยวะภายในและเป็นตัวเชื่อมอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่น นุ่มนวล ยืดหยุ่นได้ดี ไม่เหี่ยวย่น จึงได้รับความสนใจในการใช้เสริมอาหารเพื่อเสริมสุขภาพผิว การได้รับเสริมในอาหารอาจจะช่วยหรือกระตุ้นกระบวนการสังเคราะห์ คอลลาเจนในร่างกายจึงเป็นกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิวที่ต้องทำการวิจัยเพิ่มเติม

ฟลาโวนอยด์ เป็นสารที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและอาจช่วยป้องกันมะเร็ง ลดการอักเสบของข้อ ชะลอภาวะหลงลืมง่าย

โคเอนไซม์คิว 10 เป็นสารที่ทำหน้าที่กับสารตัวอื่นๆ ในการรักษาอาการผิดปกติมานานแล้วในวงการแพทย์ มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ ส่งเสริมภูมิต้านทาน ทำให้สดชื่นกระฉับกระเฉง ป้องกันโรคสมองเสื่อมและลดความดัน แต่ช่วงหลังได้รับความสนใจมากจากในเรื่องยับยั้งการสร้างสารอนุมูลอิสระ เราสามารถรับโคเอนไซม์คิว 10 ได้จากการรับประทานตับ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เป็นต้น

ไลโคปีน สารอาหารที่พบมากในผักหรือผลไม้ที่มีสีสันแดง-ส้ม หรือผลไม้จำพวกที่ขึ้นต้นด้วย มะ ทั้งหลาย เช่น มะเขือเทศ มะม่วง มะปราง มะละกอ ป้องกันเซลล์ระบบภูมิต้านทานจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ป้องกันภาวะจอตาเสื่อม โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น

คาเตชิน ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอล และช่วยลดการแข็งตัวของเลือด ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 200 มก. เรามักพบสารนี้ในเครื่องดื่มประเภทชาหรือกาแฟ ข้อควรระวังคือ สตรีที่ให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาเขียว

เพกติน มาจากใยอาหารชนิดละลายน้ำ ช่วยป้องกันหลอดเลือดจากการทำลายของโคเลสเตอรอลชนิดร้าย มีประโยชน์ต่อการรักษาโรคอุจจาระร่วงและโรคเบาหวาน

ลูเตอินและซีแซนทิน เป็นสารอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน ได้มาจากผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง ส้มและเขียวสด ช่วยบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น

กรดไฮยาลูโรนิค เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้ในชั้นหนังแท้ มีคุณสมบัติสำคัญคือ สร้างความยืดหยุ่นและชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง เพราะสามารถดูดและอุ้มน้ำได้ถึง 1,000 เท่า สารชนิดนี้เป็นส่วนประกอบสุดฮิตที่เติมลงในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง แต่ปัจจุบันได้แผ่ขยายความนิยมมาในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบ้างเพื่อสร้างจุดขาย แต่เนื่องจากปริมาณที่เติมมีสัดส่วนน้อย ดังนั้นจึงเป็นการรับประทานตามแฟชั่นมากกว่าหวังผล 100%


ดังนั้นไม่ว่าอาหารหรือเครื่องดื่มจะผ่านกระบวนการคิดค้น วิจัยหรือพัฒนาให้อุดมไปด้วยสารอาหารอย่างครบครันแค่ไหน คุณก็ยังต้องรับประทานอาหารที่ปรุงสดๆ ใหม่ๆ ทั่วไปเป็นหลัก เพราะร่างกายคนเราต้องการสารอาหารที่หลากหลายจากอาหารหลากชนิด การหวังพึ่งหรือยึดติดกับอาหารแห่งอนาคตมากไปไม่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอย่างยั่งยืน พูดง่ายๆ คือ ต้องเดินสายกลาง ถ้าคุณคิดว่ารับประทานอาหารครบ 5 หมู่เป็นประจำอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องดิ้นรนหามารับประทานมากนัก แต่ถ้าคิดว่าชีวิตประจำวันยุ่งจนไม่มีเวลารับประทานอาหารให้ครบได้ ก็รับประทานอาหารหลักคู่กับอาหารที่เติมสารอาหารพิเศษร่วมด้วยก็ได้ แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมแก่ความต้องการและถูกกับโรคของตัวเองนะคะ




เราชวนคุณให้เป็นคนหูหนักและจู้จี้! กรณีผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชันที่โฆษณาอ้างเกินจริง

เทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยอำนวยความสะดวกให้ทางเลือกแก่ผู้ซื้อให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลาย และครบถ้วนจากการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มนั้นๆ แต่การเติมสารอาหารทุกอย่างก็มีข้อควรระวังเช่นกัน โดยเฉพาะสารอาหารที่เติมลงไปนั้นต้องปลอดภัยต่อสุขภาพจริง ได้รับมาตรฐานและตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว และที่สำคัญคุณยังจำเป็นต้องศึกษาและใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อก่อนนำมารับประทานเสมอ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการอ้างอิงหรือโฆษณาที่เกินจริง ซึ่งล่าสุดมีตัวอย่างให้เห็นทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่า กาแฟสำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่งได้ลักลอบใส่สารซิลเดนาฟิล (Sildenafil) ยาที่ใช้รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผลข้างเคียงคือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน หากผู้ที่เป็นโรคหัวใจดื่มก็อาจอันตรายถึงเสียชีวิตได้ เช่นเดียวกับการโฆษณาว่า อาหารหรือเครื่องดื่มนั้นมีสรรพคุณในเชิงป้องกันรักษาโรค เช่น ลดความอ้วน ลดน้ำหนัก ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เป็นต้น



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ดื่มน้ำกันเถิดให้เกิดผล

น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกายมนุษย์ ที่ช่วยให้การทำงานของอวัยวะและเซลล์ต่างๆ เป็นปกติ และเพื่อให้การดื่มน้ำส่งผลดีต่อร่างกายคุณมากยิ่งขึ้น เรามีคำแนะนำของการดื่มน้ำมาฝาก เริ่มจาก...


ดื่มน้ำสะอาดตอนเช้า หลังจากที่นอนหลับพักผ่อนติดต่อกันเป็นเวลามากกว่า 6 ชั่วโมง ซึ่งมีสัญญาณเตือนของการขาดน้ำด้วยอาการคอแห้ง ปากแห้ง หรือน้ำลายเหนียว เป็นต้น เมื่อร่างกายได้น้ำเพียงพอ 1-2 แก้ว คุณจะรู้สึกสดชื่นพร้อมทำกิจวัตรประจำวันต่อไป

ดื่มน้ำก่อน-หลังอาหารลดอ้วน สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ชอบรับประทานอาหารจุบจิบก่อนและหลังอาหาร ขอแนะนำให้ดื่มน้ำก่อนและหลังอาหาร 1-2 แก้ว เพื่อเป็นการเช็คว่าคุณหิวจริงๆ หรือร่างกายต้องการน้ำกันแน่ เพื่อระงับความอยากอาหารที่เกินความต้องการของร่างกาย ทั้งนี้ระหว่างอาหารไม่ควรดื่มน้ำมากไป เพราะจะทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้องได้

ดื่มน้ำเพิ่มพลังเมตาบอลิสม น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในทำงานของเซลล์แต่ละเซลล์ ในการดูดซึมและเปลี่ยนถ่ายก่อให้เกิดเป็นพลังงานความร้อน ช่วยในเผาผลาญและนำสารอาหารที่ร่างกายไปใช้ประโยชน์ต่อไป โดยในหนึ่งวันเราควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เตือนภัย : ดูให้ดีความสะอาดของห้องน้ำสาธารณะ


ขึ้นชื่อว่า 'ห้องน้ำสาธารณะ' ย่อมอธิบายภาพของการเป็นสถานที่ให้บริการที่เป็นของใช้ส่วนรวมได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าการใช้บริการห้องน้ำสาธารณะ เช่น ตามห้างสรรพสินค้า และสวนสาธารณะต่างๆ ในปัจจุบันต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะยังขาดมาตรฐาน เนื่องจากการใช้บริการห้องน้ำสาธารณะมีความเสี่ยงในการติดโรคได้ เพราะห้องน้ำสาธารณะส่วนใหญ่มีผู้คนมาใช้บริการมากหน้าหลายตา ทำให้ไม่ค่อยสะอาด และมีโอกาสที่จะติดโรคได้ เช่น เริม ซึ่งพิสูจน์ยากว่าติดต่อจากการใช้บริการห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งเป็นโรคที่สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ ถ้าผู้ใช้บริการห้องน้ำสาธารณะมีแผลเริมอยู่ ถ้าแผลเปิด และเมื่ออีกคนเข้าไปใช้ต่อทันที ก็มีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อได้



นอกจากนี้เชื้อโรคอื่นๆ เช่น อหิวาตกโรคหรือไข้รากสาด ถ้าคนที่เข้าห้องน้ำถ่ายอุจจาระแล้วไม่ได้ล้างมือให้สะอาด เกิดมีอุจจาระปนเปื้อนบริเวณมือ เมื่อมือไปจับก๊อกน้ำและจับลูกบิด คนที่ไปจับต่อมาแล้วไปสัมผัสถูกปากหรือน้ำลายก็มีโอกาสได้รับเชื้อเช่นกัน



ส่วนโอกาสที่จะได้รับเชื้อจากห้องน้ำสาธารณะที่มีทั่วไปในกรุงเทพฯ นั้น ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ห้องน้ำสาธารณะส่วนใหญ่จะสกปรก ไม่มีน้ำราด น้ำไม่ไหล หรือแม้กระทั่งไม่มีถังทิ้งกระดาษชำระ ดังนั้นหากน้องๆ dek-d.com จะใช้บริการห้องน้ำสาธารณะต้องระมัดระวังถึงเรื่องของความสะอาดและความปลอดภัยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญไว้ด้วยนะคะ


ส่วนวิธีการป้องกันเชื้อโรคจากห้องน้ำสาธารณะนั้น น้องๆ สามารถทำได้ง่ายๆ โดยการรู้จักล้างมือและชำระล้างสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคจากร่างกายที่อาจได้รับจากการเข้าห้องน้ำสาธารณะ ก่อนที่จะมาสัมผัสส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ขยี้ตา หรือจับปาก จับจมูกต้องล้างมือให้สะอาดเรียบร้อยก่อน ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

ดื่มน้ำกันเถิดให้เกิดผล

น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกายมนุษย์ ที่ช่วยให้การทำงานของอวัยวะและเซลล์ต่างๆ เป็นปกติ และเพื่อให้การดื่มน้ำส่งผลดีต่อร่างกายคุณมากยิ่งขึ้น เรามีคำแนะนำของการดื่มน้ำมาฝาก เริ่มจาก...


ดื่มน้ำสะอาดตอนเช้า หลังจากที่นอนหลับพักผ่อนติดต่อกันเป็นเวลามากกว่า 6 ชั่วโมง ซึ่งมีสัญญาณเตือนของการขาดน้ำด้วยอาการคอแห้ง ปากแห้ง หรือน้ำลายเหนียว เป็นต้น เมื่อร่างกายได้น้ำเพียงพอ 1-2 แก้ว คุณจะรู้สึกสดชื่นพร้อมทำกิจวัตรประจำวันต่อไป

ดื่มน้ำก่อน-หลังอาหารลดอ้วน สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ชอบรับประทานอาหารจุบจิบก่อนและหลังอาหาร ขอแนะนำให้ดื่มน้ำก่อนและหลังอาหาร 1-2 แก้ว เพื่อเป็นการเช็คว่าคุณหิวจริงๆ หรือร่างกายต้องการน้ำกันแน่ เพื่อระงับความอยากอาหารที่เกินความต้องการของร่างกาย ทั้งนี้ระหว่างอาหารไม่ควรดื่มน้ำมากไป เพราะจะทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้องได้

ดื่มน้ำเพิ่มพลังเมตาบอลิสม น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในทำงานของเซลล์แต่ละเซลล์ ในการดูดซึมและเปลี่ยนถ่ายก่อให้เกิดเป็นพลังงานความร้อน ช่วยในเผาผลาญและนำสารอาหารที่ร่างกายไปใช้ประโยชน์ต่อไป โดยในหนึ่งวันเราควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....

เคยเจออาการแบบนี้บ้างไหมจ๊ะ เช่น คุยโทรศัพท์นานๆ แล้วรู้สึกหูของตัวเองร้อน หรือมีเลือดผสมหนองไหลออกมาจากหู ถ้าน้องๆ มีอาการแบบนี้ล่ะก็ รีบเข้ามาทางนี้โดยด่วนเลย


ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....

มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคัน ซึ่งเมื่อน้องๆ แคะ หรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้

วิธีป้องกัน

ถ้าน้องๆ รู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ พี่ปัดขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้



นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค


ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....




หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น น้องๆ รู้กันรึเปล่าจ๊ะว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหู และการอักแสบในช่องหูได้


วิธีป้องกัน

น้องๆ ควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่นะจ๊ะ

เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู

หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ


ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....



อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึงต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้

วิธีป้องกัน

น้องๆ จะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด

หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยล่ะก็ น้องๆ จะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุแล้วก็ได้นะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

ข้อสอบ TOEIC แบบใหม่ !


แบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถภาษาอังกฤษที่เป็นที่นิยมคงต้องยกนิ้วให้ TOEIC ซึ่งหากน้องๆ คนไหนมีคะแนนสอบ TOEIC ที่ดีแล้ว ก็เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งสำหรับการเตรียมตัวไปเรียนต่อเมืองนอก ล่าสุดนั้น การสอบ TOEIC ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเล็กน้อย โดยเริ่มเปลี่ยนมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา เรียกรูปแบบใหม่นี้ว่า Redesigned Toeic




แบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถภาษาอังกฤษที่เป็นที่นิยมคงต้องยกนิ้วให้ TOEIC ซึ่งหากน้องๆ คนไหนมีคะแนนสอบ TOEIC ที่ดีแล้ว ก็เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งสำหรับการเตรียมตัวไปเรียนต่อเมืองนอก ล่าสุดนั้น การสอบ TOEIC ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเล็กน้อย โดยเริ่มเปลี่ยนมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา เรียกรูปแบบใหม่นี้ว่า Redesigned Toeic ว่าแต่จะเปลี่ยนแปลงไปยังไงนั้น พี่เป้ รวบรวมมาไว้ให้แล้วค่ะ




ข้อสอบ TOEIC แบบใหม่ !



PART 1 : LISTENING มีทั้งหมด 100 ข้อ คะแนนรวม 495 คะแนน เวลา 45 นาที

1.1 Photographs (รูปภาพ) โดยฟังประโยคจากเทปที่เปิด แล้วพิจารณาว่ารูปภาพในข้อใดตรงกับที่เทป
อ่านมากที่สุด

- แบบเก่า มีทั้งหมด 20 ข้อ
- แบบใหม่ ลดเหลือเพียง 10 ข้อ



1.2 Question-Response (ถามตอบ) ฟังคำถามจากเทปที่เปิด เช่น How are you ? และฟังชอยส์
4 คำตอบจากเทปเช่นกันแล้วเลือกว่าคำตอบใดถูกต้องที่สุด โดยคำถามทั้งหมดมี 30 ข้อ

- ไม่มีการเปลี่ยนแปลง



1.3 Conversations (บทสนทนา) จะเป็นบทสนทนาระหว่างบุคคล 2 คน ซึ่งโจทย์จะถามเกี่ยวกับเนื้อหา
ของบทสนทนา มีทั้งหมด 30 ข้อ

- แบบเก่า 1 บทสนทนา ต่อ คำถาม 1 ข้อ (มีทั้งหมด 30 บทความ)
- แบบใหม่ 1 บทสนทนา ต่อ คำถาม 3 ข้อ (มีทั้งหมด 10 บทความ)



1.4 Talks (บทพูดคุย) การฟังประกาศ ข่าว หรือบทความ และตอบคำถาม

- แบบเก่า มีคำถามทั้งหมด 20 ข้อ
- แบบใหม่ มีคำถามทั้งหมด 30 ข้อ โดยมีบทความ 10 บทความ (1 บทความ มีคำถาม 3 ข้อ)




ข้อสอบ TOEIC แบบใหม่ !



PART 2 : READING มีทั้งหมด 100 ข้อ คะแนนรวม 495 คะแนน เวลา 1 ชม. 15 นาที

2.1 Incomplete Sentence (เติมประโยคให้เต็ม) เช่น Please tell me your ____ time .
(arrive , arrival , reach , reaching)

- ไม่มีการเปลี่ยนแปลง



2.2
- แบบเก่า Error Recognition (จับผิดไวยากรณ์) มีทั้งหมด 20 ข้อ
- แบบใหม่ Text Completion (เติมข้อความให้สมบูรณ์) โดยอ่านบทความคล้ายๆ E-mail และเติมข้อ
ความที่หายไปให้สมบูรณ์ มีทั้งหมด 4 บทความ แต่ละบทความมี 3 คำถาม รวมคำถามทั้งหมด 12 ข้อ



2.3 Reading Comprehension (ทำความเข้าใจเรื่องที่อ่าน) เป็นการอ่านเนื้อเรื่องแล้วตอบคำถาม

- แบบเก่า มี 40 ข้อ
- แบบใหม่ มี 48 ข้อ แบ่งออกเป็น
Single Passages มี 7-10 บทความ แต่ละบทความจะมี 2-5 คำถาม รวมคำถาม 28 ข้อ
Double Passages มีบทความอ่าน 4 คู่ ( เช่น E-mail โต้ตอบกับลูกค้า) แต่ละคู่มี 5 คำถาม
รวมคำถาม 20 ข้อ

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ 13 ประการ เพื่อ การเรียน อย่างมี ประสิทธภาพ

1. รับผิดชอบ
- รับผิดชอบตนเอง ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ เป็นผู้ชนะจากความสามารถของตน

2. เริ่มต้นดี
- ช่วงเดือนแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ถือเป็นช่วงวิกฤตของน้องใหม่ หากเริ่มต้นดี ความสำเร็วจะไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม

3. กำหนดเป้าหมายในการเรียนอย่างแน่วแน่
- กำหนดเป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทุ่มเทความพยายามให้บรรลุเป้าหมายนั้น

4. วางแผน และจัดการ
- มีการวางแผน จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่ต้องทำ หากทำตารางเวลาเป็นรายสัปดาห์ได้ยิ่งดี
5. มีวินัยต่อตนเอง
- เมื่อกำหนดเป้าหมาย วางแผน และจัดการ ตามข้อ 4 และ 5 แล้วต้องสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ที่จะมีวินัย และปฏิบัติตาม

6. อย่าล้าสมัย
- วิทยาการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การค้นคว้าหาความรู้ ต้องอิงกับข้อมูลที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์

7. ฝึกฝนตนเองให้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ศึกษาข้อเสนอแนะในคู่มือเล่มนี้ และฝึกทักษะการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ติดตัวตลอดไป

8. เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ชั้นเรียน
- เตรียมตัวเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างแข็งขัน หากเป็นไปได้เตรียมอ่านเอกสารที่จะเรียนมาก่อนเข้าห้องเรียน

9. มุ่งมั้น จดจ่อต่อบทเรียน
- มีสมาธิ สนใจ ตั้งใจ เวลาอาจารย์สอน ไม่เข้าเรียนเพื่อพูดคุยกัน ซังกะตาม รอเวลาเลิกชั้น

10. เป็นตัวของตัวเอง
- รู้จักคิดและทำ ด้วยความสามารถของตนเองคิดเสมอว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสูง

11. มีความกระตือรือล้น
- ความสำเร็จเป็นของผู้ที่มีความริเริ่ม เป็นฝ่ายรุกที่จะมุ่งหน้า และคว้าความสำเร็จเป็นของตน

12. มีสุขภาพดี
- อย่าลืมใส่ใจต่อสุขภาพร่างกาย กิจกรรมนันทนาการ และกิจกรรมสังคม วางแผนจัดเวลาต่อสิ่งเหล่านี้ให้พอเหมาะ

13. เรียนอย่างมีความสุข
- พยายามเก็บเกี่ยวความน่าสนใจในบทเรียน คิดเสมอว่าทุกวิชาน่าเรียนรู้ น่าสนุกทั้งนั้น แล้วท่านจะพบว่า เราก็เรียนอย่างมีความสุขได้

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แม่

เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ใน อ้อม อก คุณขอบ คุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้

เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า ' ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป... ''
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า ' แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู(ผม)หรอก '
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ
เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้ น
เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า ' แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย '
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่ '
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ
เมื่อคุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า ' มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร '
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า ' แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย '
เมื่อคุณอายุ 25 ปี ( สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' อายคนอื่นเขาน่า แม่ '
( สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดนไม่มีแม่ '
เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า ' สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่ '
เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า ' ตอนนี้ไม่ว่างเลย '
เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า ' มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ '
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่ ' แม่ '
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ ' แม่ ' ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม
รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น

อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก ' แม่ ' ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็ ' รัก ' ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ ' รูป ' ของแม่เท่านั้น

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คลีโอพัตรา



"คลีโอพัตรา ในมุมหนึ่งที่คุณไม่เคยรู้"

พอเอ่ยชื่อ " พระนางคลีโอพัตรา " ก็ให้รู้สึกลำบากใจที่จะต้องเขียนถึง ด้วยความที่เป็นชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เอาเป็นว่าเราจะกล่าว ถึงเรื่องของพระนางเพียงพอสังเขปรวมถึงเรื่องราวในแง่มุม ที่คุณเองก็อาจจะไม่เคยได้รับรู้มาก่อน

เริ่มกันตั้ง แต่ชื่อ " คลีโอพัตรา " ที่ใครๆ เข้าใจเป็นชื่ออิยิปต์ แต่แท้ที่จริงแล้วชื่อนี้เป็นชื่อกรีกและยังเป็นกรีกมาซีโดเนียเสียด้วย ตามหน้าประวัติศาสตร์แล้วพระชายาองค์หนึ่งของพระเจ้าลิปซึ่งเป็นพระบิดาของพระเจ้า

อเล็กซานเดอร์มหาราช ก็ทรงมีพระนามว่า " คลีโอพัตรา " และเมื่อราชวงศ์ปโตเลมีของมาซีโดเนี่ยนขึ้นปกครอง



"คลีโอพัตรา องค์สุดท้าย"

ไอยคุปต์นาม " คลีโอพัตรา " จึงนิยมตั้งชื่อกันอย่างแพร่หลายในหมู่เจ้าหญิงของราชวงศ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ราชินีคลีโอพัตราแห่งไอยคุปต์จึงมีถึง 7 พระองค์ ส่วนองค์ที่เราจะได้รับรู้เรื่องเบื้องลึก

ของพระนางในวันนี้เป็น ราชินีคลีโอพัตราองค์สุดท้าย พระนางทรงเป็นราชธิดาของฟาโรห์ออลีตีส

พระนางคลีโอพัตราในความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไปคือพระราชินี้ผู้ทรงเสน่ห์ที่สุด มีรูปโฉมที่งดงาม

เพียบพร้อมไปด้วยกลเม็ดเด็ดพรายในเชิงพิศวาส ที่สามารถมัดใจชายผู้เป็นยอดนักรบที่กล้าแกร่งให้มาซบอยู่

ตักได้ถึงสองคนในเวลาใกล้เคียงกันแต่แท้ที่จริงแล้ว เสน่ห์ของพระนางคลีโอพัตราไม่ได้อยู่ที่เนื้อหนังมังสาหรือความงดงามแห่งใบหน้าและเรือนกายเลย แต่อยู่ที่สติปัญญาและความเฉลียวฉลาดรู้เท่าทันคนต่างหาก



"วาจาท่าทางแห่งมนต์เสน่ห์อันล้ำลึก"

การที่เราเข้าใจกันว่าพระนางมีเสน่ห์อันล้ำลึกยั่วยวนใจชายจนเหลือกำลังนั้นเป็นผลมาจากภาพของพระนาง

คลีโอพัตราที่เราเห็นจากภาพยนตร์ที่สร้างมาจากบทละครอันลือลั่นของวิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ ชื่อเรื่อง " แอนโทนี

คลีโอพัตรา " นั่นเอง และยิ่งละครและภาพยนตร์ยิ่งดังเท่าไรผู้คนก็พากันเชื่อมั่นว่าพระนางคลีโอพัตราจะต้องเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่านั้นแต่จากหลักฐานที่นักเขียนชีวประวัติลือนามอย่าง" พลูตาร์ค " ได้เขียนถึงพระนางคลีโอพัตราไว้ว่า " เราได้รับคำบอกเล่าว่า ความงามของคลีโอพัตรานั้นมิใช่งามเลิศไร้ที่ติจนดึงดูดสายตาของผู้พบเห็นในนาทีแรก แต่นางมีนางมีเสน่ห์อันใครต้านทานไม่ได้ มีบุคลิกแปลกและทรงอำนาจ จนทำให้ทุกวาจาและท่าทีของนางสะกดผู้คนให้ตกอยู่ในมนต์เสน่ห์อันนี้เอง "




Cleopatra & Caesar



"สติปัญญาอันชาญฉลาด"

ส่วนหลักฐานยืนยันสิ่งที่สองคือรูปสลักของพระนางที่วิหารแห่งอเล็กซานเดรียกับลูกนกบนเหรียญกษาปณ์ที่

ทำขึ้นในสมัยนั้น ภาพของพระนางคลีโอพัตราคือหญิงสาวที่มีเรือนร่างอันอวบอ้วนใบหน้ากลม ปากบางสวย

แต่มีจมูกที่ทั้งใหญ่และงุ้มแม้ว่ารูปโฉมของพระนางคลีโอพัตรา ราชินีแห่งไอยคุปต์จะไม่เหมือนอย่างที่เราเคยรับรู้ แต่บุคลิกและเอกลักษณ์ของพระนางที่เลอค่ามากกว่ารูปโฉมจนกลายเป็นเสน่ห์ที่มั่นคงและมากขึ้นตามอายุไข นั่นก็คือ สติปัญญาและความรอบรู้พระนางทรงเชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์รอบรู้เรื่องรัฐศาสตร์และหลักการปกครองอันเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์อย่างยอดเยี่ยม สามารถพูดได้ถึง 6 ภาษา รวมทั้งยังเก่งเรื่องอักษรศาสตร์และศิลปศาสตร์ เพราะตลอดเวลา 22 ปีที่ทรงครองบัลลังก์อยู่ พระนางแต่งโคลงกลอนไว้มากมายรวมทั้งให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูศิลปกรรมสาขาต่างๆ มากมายด้วยความเก่งกาจของพระนางคลีโอพัตราที่มีอยู่มากมาย ทำให้ฟาโรห์ผู้เป็นพระราชบิดาของพระนางแต่งตั้งให้พระนางขึ้นครองราชบัลลังก์คู่กับพระองค์ในปี 52 ก่อนค.ศ. และพระนางก็สามารถบริหารราชการบ้านเมืองคู่พระบิดามาได้ด้วยความเรียบร้อย จนเมื่อพระบิดาสวรรคต ความทุกข์ความขมขื่นในชีวิตของพระนางก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อตามธรรมเนียมไอยคุปต์ ที่สืบทอดบัลลังก์กันทางผู้หญิง โดยที่ราชธิดาของฟาโรห์จะได้รับการตระเตรียมเพื่อ



เป็นราชินีโดยที่จะต้องแต่งงานกันในระหว่างพี่น้อง

พระนางคลีโอพัตราจึงหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ข้อนี้ พระนางถูกวางตัวให้อยู่ในตำแหน่งาชินีและต้องแต่งงานกับฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 น้องชายของพระนางเอง แต่โชคร้ายที่พี่น้องคู่นี้เกลียดกันถึงขนาดต้องการจะฟาดฟันให้ตายกันไปข้างหนึ่งทีเดียว ผู้เป็นน้องชายจึงจ้องจะหาทางกำจัดพี่สาว ส่วนพระนางคลีโอพัตราก็อยากจะกำจัดน้องชายเสียให้สิ้นเรื่อง แต่ในเวลานั้นพระนางยังไม่ทรงแน่ใจในอำนาจที่มีอยู่ในมือ จึงต้องเป็นฝ่ายล่าถอยออกจากเมืองอเล็กซานเดรียเพื่อไปตั้งหลักพระนางเริ่มมองหาพันธมิตรเพื่อช่วยเหลือในการกำจัดฟาโรห์ออกจากบัลลังก์ให้ได้ ซึ่งเป็นช่วงประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่โรงเริ่มรุกรานดินแดนแถบเมดิเตอร์เรเนียน โดยมี จูเลียส ซีซาร์เป็นแม่ทัพยกมาทางอียิปต์ พระนางเห็นเป็นจังหวะเหมาะถึงจึงลอบเข้าเมืองเพื่อไปหาซีซาร์มาถึงตอนนี้ที่เราเห็นในภาพยนตร์คือพระนางคลีโอพัตราซ่อนร่างอยู่ในม้วนพรมแล้วให้ทาสแบกเข้าไปในวังที่ซีซาร์พัก เมื่อคลี่พรมออกก็ปรากฏเรือนร่างเปลือยเปล่าของพระนางออกมาร่ายรำแต่จริงๆ แล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

แต่เป็นเพราะการเจรจาที่ฉลาดเฉียบแหลมทางสติปัญญาของพระนางต่างหากที่ทำให้ จูเลียต ซีซาร์ ยอมช่วย



ราชินีไอยคุปต์ให้ได้ครองบัลลังก์ แต่เพียงผู้เดียว

ซีซาร์บัญชาการทหารให้ทำลายล้างกองทัพอียิปห์ที่ต่อต้านพระนางคลีโอพัตรา และการสงครามในครั้งนี้ซีซาร์ได้เผาเรือรบของตนตามแผนยุทธการ แต่บังเอิญไฟได้ลามไปถึงหอสมุดอเล็กซานเดรียไหม้ส่วนที่เป็นเอกสารสำคัญเหตุการณ์เพลิงไหม้ในครั้งนนั้นได้รับการขนามนามให้เป็น " ความทรงจำของมนุษชาติ " พอเพลิงสงบก็พบศพของปโตเลมีที่ 13 จมอยู่ในแม่น้ำไนล์ในชุดเกราะทองครบครัน และเล่าลือกันว่าพระนางคลีโอพัตรานั่นเองที่เป็นคนผลักลงไปเมื่อปราศจากผู้ครองนคร ซีซาร์ในฐานะที่ตีเมืองได้ก็ต้องแต่งตั้งผู้ครองนครขึ้นมา น้องชายอายุ 12 ปีของพระนางคลีโอพัตราจึงได้เป็นปโตเลมีที่ 14

ส่วนซีซาร์และพระนางคลีโอพัตราก็กลายเป็นคู่เชยคู่ดังแห่งยุคเมื่อซีซาร์ยกทัพกลับกรุงโรมได้ไม่นาน พระนางคลีโอพัตราก็ตั้งครรภ์ พระนางได้ตั้งชื่อพระโอรสว่า ปโตเลมีซีซาร์ แต่คนทั่วไปเรียกว่า ซีซาร์เรียน พระนางพาโอรสมาเยือนกรุงโรมในปี 46 ก่อน ค.ศ. ตามคำเชิญของซีซาร์ซึ่งทำการต้อนรับพระนางอย่างยิ่งใหญ่ พระนางนั้นหวังว่าซีซาร์จะแต่งตั้งโอรสให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจ แต่ว่าจูเลียต ซีซาร์ก็ต้องมาถูกฆ่าตายกลางสภาในกลางเดือนมีนาคมปี 44 ก่อน ค.ศ. นั่นเอง ก่อนตายเขาได้แต่งตั้งหลานชายคือ อ๊อคตาเวีย ขึ้นครองกรุงโรม พระนางคลีโอพัตราจึงต้องพาโอรสกลับอเล็กซานเดรียด้วยความผิดหวัง



"ความรัก คลีโอพัตรา มาร์ค แอนโทนี่"

พระนางคลีโอพัตราเงียบหายไปหลายปีเพราะมัวยุ่งอยู่กับการฟื้นฟูอียิปต์และผูกไมตรีกับเพื่อนบ้านไม่ว่าจะ ยิว หรือ อาหรับ ในที่สุดอียิปต์ก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งจนกระทั่ง มาร์คุส อันโทนิอุส หรือ มาร์ค แอนโทนี ขุนพลของโรมันต้องส่งสารเชิญพระนางคลีโอพัตราไปพบเพื่อหารือขอความช่วยเหลือเมื่อพระนางไปพบ มาร์ค แอนโทนี่ ที่เมืองทาร์ซุส ความรักครั้งยิ่งใหญ่ก็บังเกิดขึ้นและดำเนินไปด้วยความหวานชื่น แต่ก็ให้เกิดเหตุบังเอิญเมื่อ ฟุลเวีย ภรรยาคนที่สามก่อกบฏ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่อ๊อคตาเวีย

และโดนประหารในที่สุด แอนโทนีจึงต้องกลับบ้านและตกลงแต่งงานกับน้องสาวของอ๊อคตาเวียเพื่อสานสัมพันธ์กันใหม่พระนางคลีโอพัตราแทบคลั่งเมื่อได้ทราบการแต่งงานของชู้รัก ต่อมาพระนางก็ให้กำเนิดลูกแฝดแก่แอนโทนีและตั้งชื่อว่า อเล็กซานเดอร์ เฮลิออส และ คลีโอพัตราเซเลเน แล้วจู่ๆ มาร์ค แอนโทนี ก็ติดต่อมาอีกทั้งคู่จึงกลับมาคืนดีกันด้วยความหวานชื่นอีกครั้งทางด้านกรุงโรมก็กำลังวุ่นวายเมื่อรู้ว่าแอนโทนีกับคลีโอพัตราสนิทแนบแน่นกันนั้น อาจจะกำลังมีแผนการอย่างอื่นอยู่ อ๊อคตาเวียจึงเรียกร้องให้คลีโอพัตราส่งเสบียงกรังมาเป็นส่วย แต่แอนโทนีห้ามไว้



"สงครามอียิปต์"

เมื่อแน่ใจแล้วว่าแอนโทนีกำลังแปรพักตร์ไปเข้ากับอียิปต์ อ๊อคตาเวียจึงประกาศให้ชาวโรมฟังว่าแอนโทนีมี

แผนจะย้ายเมืองหลวงหรือก่อกบฎนั่นเอง แอนโทนีจึงประกาศว่าอ๊อคตาเวียไม่ใช่ทายาทที่ถูกต้อง แต่ซีซาร์เรียน

เท่านั้นที่เป็นทายาทตัวจริงของซีซาร์และมีสิทธ์ครองกรุงโรม อ๊อคตาเวียจึงเกลี้ยกล่อมสภาซีเนทของโรมให้เห็นถึงอันตรายของอียิปต์ภายใต้การปกครองของแอนโทนีและคลีโอพัตรา ในที่สุดโรมจึงประกาศสงครามกับอียิปต์ปี 31 ก่อน ค.ศ. กองทัพโรมันก็บ่ายหน้าสู่อียิปต์ มาร์ค แอนโทนียกกองทัพเรือออกไป โดยมีคลีโอพัตราลงเรือของเธอไปสังเกตการณ์ กองทัพของฝ่ายโรมันและอียิปต์เข้าโรมรันกันอย่างดุเดือด พระนางคลีโอพัตราตกพระทัย

ในศึกดุเดือดเบื้องหน้า จึงสั่งให้เรือของเธอกลับลำหนี เมื่อแอนโทนีหันมาเห็นเข้าก็ถอดเสื้อเกราะทิ้งแล้วแล่นเรือไล่ตามหลังพระนางมา การรบเป็นอันจบสิ้น รวมทั้งชีวิตของคนทั้งสองด้วย




Death of Cleopatra



"ความลับตลอดกาล"

เมื่อพบกับความพ่ายแพ้ มาร์ค แอนโทนี จึงฆ่าตัวตายในอ้อมแขนของพระนางคลีโอพัตรา ส่วนพระนางก็ดื่ม

ยาพิษฆ่าตัวตายตามคู่รักไป อียิปต์จึงตกเป็นของโรมันตั้งแต่นั้นมาหลักฐานของเหตุการณ์ต่างๆ ยังคงปรากฏให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติศาสตร์กันมาหลายยุคหลายสมัย แต่เว้นอยู่อย่างเดียวคือ ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่จะระบุสุสานของ มาร์ค แอนโทนี และ พระนางคลีโอพัตรา อยู่ที่ไหนความลับเกี่ยวกับที่เก็บศพของคู่รักบันลือโลกคู่นี้จึงยังเป็นความลับอยู่ตลอดมา




แหล่งข้อมูล : รวมเรื่องโบราณคดี

เรื่องร้ายของผู้หญิง

มะเร็งปากมดลูกไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ แต่เกิดได้จากการใช้ทิชชูในเวลาทำกิจวัตร จะเกิดจากเป็นเชื้อราเล็กๆ และขยายวงกว้างจนกลายเป็นมะเร็งร้าย



ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นเชื้อราเล็กๆ อยู่จึงไม่กังวลมาก แต่สาเหตุที่แท้จริงคือทิชชูมีสารเคมีตัวฉกาจที่เมื่อใช้เป็นเวลานานติดต่อกันจะทำให้เกิดในช่องคลอดได้



หมอแนะนำว่าหลังจากเสร็จกิจใน ห้องน้ำ ให้ใช้ทิชชูซับแทนการเช็ด และต้องซับครั้งเดียว ไม่เกิน 10 วินาทีเป็นการหลีกเลี่ยงการเกิดเชื้อราได้ 50 % ด้วย



ที่มาจากหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กำจัดพุงสามชั้นได้ด้วย ...

>> ดื่มน้ำให้เพียงพอ ... น้องๆ ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพราะถ้าร่างกายขาดน้ำ ร่างกายจะกักเก็บของเหลวไว้ทำให้รูปร่างของเราดูบวมน้ำ



>> งดน้ำอัดลม ... น้ำอัดลมเป็นตัวการสำคัญทำให้เกิดลมในกระเพราะอาหารได้นะคะ ถ้าอยากดื่มน้ำหวานพี่เหมี่ยวแนะนำว่าน้องๆ dek-d.com ควรเลือกชนิดไม่อัดแก๊สจะสบายท้องกว่าค่ะ

>> หม่ำโยเกิร์ต ... ที่พี่เหมี่ยวบอกให้น้องๆ dek-d.com กินโบเกิร์ตก็เพราะว่าในโยเกิร์ตจะมีสารที่ช่วยย่อยสลายน้ำตาลและโปรตีน ทำให้ระบบย่อยอาหารของน้องๆ ทำงานดีขึ้นค่ะ


>> ลดเกลือ ... น้องๆ dek-d.comลองเปลี่ยนมาใช้ซีอิ๊วญี่ปุ่นหรือซอสปรุงรส แทนน้ำปลา และใช้เนื้อสัตว์สดในการปรุงอาหาร ดีกว่าเนื้อสัตว์ชนิดแปรรูป เพราะมีเกลือน้อยกว่า เกลือทำให้ร่างกายบวมน้ำ นอกจากตัวบวมแล้วยังเป็นเหตุให้ใต้ตาบวมอีกด้วยนะคะ



>> หลีกเลี่ยงน้ำตาลฟรักโทส ... น้ำตาลประเภทนี้จะพบได้ในผลไม้ทุกชนิด โดยเฉพาะผลไม้สุก น้ำผลไม้ และในน้ำอัดลมทุกชนิด น้องๆ dek-d.com ควรเลี่ยงน้ำตาลฟรักโทสจากผลไม้ นั่นคือ ผลไม้อบแห้ง อย่าง อินทผลัม กล้วยตาก นอกจากหวานมากแล้ว ยังอาจเกิดแก๊สซึ่งไปรบกวนระบบย่อยอีกด้วย

>> เพิ่มโพแทสเซียม ... ซึ่งพบมากในกล้วยหอม และบร็อคโคลี่ โพแทสเซียมจะช่วยรักษาระดับน้ำในเซลล์ให้สมดุล และป้องกันอาการบวมน้ำได้ด้วยล่ะค่ะ


>> ดื่มน้ำขิง ... น้ำขิงร้อนๆ อุ่นๆ ดีต่อสุขภาพนะคะ เพราะขิงช่วยลดอาการบวมน้ำ ขับลม และช่วยให้ระบบย่อยดีขึ้น

http://www.dek-d.com/

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

17 วิธีรักษาสุขภาพ

อุณหภูมิ และสภาพอากาศในช่วงฤดูร้อนส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าที่เราเคยคาดคิด และนี่คือความจริงรวมทั้งวิธีรักษาสุขภาพ 17 ข้อที่เรา อยากให้คุณอ่าน เพราะมันมีประโยชน์มากกว่าที่คิด อัพเดทสุขภาพกับ 17 ความรู้ HOT HOT …..

1. ป้องกันอาการขาดน้ำด้วยการดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือแบบปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ สมุนไพรเยอะๆ เพราะหน้าร้อน ร่างกายภายในจะมีอุณหภูมิสูง และขับเหงื่อออกมามาก จนอาจทำให้คุณช็อกหมดสติ

2. หลีกเลี่ยงน้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัด เพราะอาจทำให้อุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงเร็วจนไม่สบาย

3. ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่นแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้

4. อย่างดอาหารเช้า เพราะร่างกายต้องการอาหารเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง ของทอด ของมัน

5. หญิงตั้งครรภ์ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนเสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไป

6. คนสูงอายุมักมีระบบย่อยที่ไม่ดี และคนที่มีม้ามบกพร่อง ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไปจะเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย ทำให้ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน

7. เลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ Mexoryl และ Tinosorb เพราะสามารถกรองรังสียูวีเอ และยูวีบี ได้ดี เช่น Vichy, Nivea และ Ambre Solaire จาก Garnier

8. หากผิวแสบร้อนจากการโดนแดด บรรเทาได้ด้วยการกินยาแอสไพริน แล้วแช่ตัวในอ่างน้ำอุณหภูมิห้อง ผสม Bath Oil จากนั้นบำรุงผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ และหลีกเลี่ยงแดดในวันถัดไป

9. ทำสเปรย์บรรเทาผิวไหม้เกรียมอย่างง่ายๆ ด้วย น้ำกรองบริสุทธิ์ 2 ออนซ์ ใส่เอสเซนเชียลออยล์กลิ่นลาเวนเดอร์ 9 หยด กลิ่นเปปเปอร์มินต์ 2 หยด และสเปียร์มินต์ 1 หยด ผสมรวมกันแล้วใส่ในขวดสเปรย์ พกติดตัวและฉีดพรมเมื่อมีอาการ

10. เลือกเครื่องสำอางแบบครีม ที่มีเนื้อแห้งเหมือนแป้ง หากหน้ามันปัดทับด้วยบรอนเซอร์ หรือแป้งฝุ่น

11. ควรเลือกใส่เสื้อผ้าเนื้อเบาสบาย ระบายอากาศได้ดีอย่างผ้าฝ้ายธรรมชาติที่หลวมกระชับตัว

12. หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้น้ำตาลสูง อย่างอาหารจำพวก แป้ง คาร์โบไฮเดรต และผลไม้รสหวานจัด เพื่อควบคุม ระดับพลังงานที่มากเกินไปจนส่งผลต่ออุณหภูมิสูงจากภายในของร่างกาย

13. ป้องกันแมลงกัดต่อยซึ่งมีชุกชุมในฤดูร้อน ด้วยการเลือกทาผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากพืชสมุนไพรธรรมชาติ

14. เลือกแว่นกันแดดขนาดใหญ่ที่ให้การปกปิดมิดชิด กระชับใบหน้า เพื่อป้องกันรังสียูวีบีจากการเกิดต้อกระจกในดวงตา และผิวไหม้เกรียม ริ้วรอยรอบดวงตา

15. อย่าเข้าใจผิดว่ายิ่งเข้มยิ่งดี สีของเลนส์ในแว่นกันแดดไม่ได้ช่วยในการปกป้องรังสี เพราะประสิทธิภาพสำคัญเกิดจากสารเคมีที่เคลือบ เพื่อสะท้อนรังสี

16. คอนแทคเลนส์ไม่ช่วยอะไร โดยเฉพาะรุ่นที่เคลมว่าสามารถดูดซับรังสีได้ เพราะอย่างไรก็ด้อยประสิทธิภาพกว่าแว่นกันแดด ดังนั้นจึงไม่อาจใช้แทนกันได้

17. ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่น่าเลือกมากที่สุดในปัจจุบัน ควรมีคุณสมบัติบางเบา ซึมซาบไว ติดทนนาน และมีส่วนผสมของสารประกอบจากไทเทเนียม หรือซิงค์ออกไซด์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กระปุก.คอม

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

9 วิธีฝึกสมองให้คิดสร้างสรรค์

ดื่มน้ำให้บ่อยๆ โดยอาจจะใช้วิธีการจิบครั้งละนิดๆ ก็ได้จ้ะ เพราะในสมองของเรานั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 85 % ของเซลล์สมอง ดังนั้นถ้าร่างกายของเราขาดน้ำ ก็จะส่งผลให้สมองของเราคิดสิ่งต่างๆ ช้าหรือคิดไม่ออกเลย

กินไขมันดีหรือโอเมก้า 3 สมองน้อยๆ ของเรานั้นก็คือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับไขมันดีเข้าไปเพื่อเป็นการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อาหารที่มีไขมันดีอยู่นั้น ก็เช่น ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง น้ำมันปลา เป็นต้น

นั่งสมาธิ อย่างที่น้องๆ ทราบกันอยู่แล้วว่าการนั่งสมาธิจะทำให้เราเกิดสติในการคิดสิ่งต่างๆ และรู้สึกผ่อนคลายได้ ดังนั้นในแต่ละวันเราควรที่จะหาเวลานั่งสมาธิบ้าง แม้จะเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้นเราสามารถนั่งสมาธิได้



ตั้งใจทำจริงๆ เพราะถ้าตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วก็ควรที่จะตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้ เพราะการตั้งใจทำถือว่าเป็นฝึกสมองอีกรูุปแบบหนึ่ง

หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ เพราะเวลาที่เราทำ 2 สิ่งนี้ สารเอ็นโดรฟินก็จะถูกหลั่งออกมา สารนี้จะทำให้เรารู้สึกมีความสุข คิดและทำสิ่งดีๆ ออกมา

เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวในร้านอาหารที่ไม่เคยกิน อ่านหนังสือเล่มใหม่ ฯลฯ เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะทำให้สารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน หลั่งออกมา สารทั้ง 2 ตัวนี้จะไปกระตุ้นให้สมองอยากเรียนรู้ และสร้างสรรค์ในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้ยังจะทำให้มีความสุขอีกด้วย



ให้อภัย เพราะถ้าเรารู้สึกโมโห โกรธ สองของเราก็จะเครียดตามไปด้วย ดังนั้นเราควรที่จะรู้จักให้อภัยคนอื่น และให้อภัยตัวเองเพื่อสมองน้อยๆ ของเรา

เขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีๆ หรือเรื่องที่เราเจอมาในแต่ละวันลงไปในไดอารี่ เช่น วันนี้ได้เจอเพื่อนใหม่ , ขอบคุณพ่อแม่ที่อยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เป็นต้น เพราะการเขียนสิ่งดีๆ จะช่วยทำให้เราคิดดีตามไปด้วย และยังเป้นการช่วยฝึกฝนสมองให้คิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาอีกด้วย

ฝึกหายใจเข้าลึกๆ เพราะสมองน้อยๆ ของเรานั้นมีออกซิเจนอยู่ด้วย ดังนั้นถ้าเราหายใจเข้าลึกๆ ก็จะเป็นช่วยการส่งพลังงานไปยังสมอง และหากเรานั่งทำงานเป็นเวลานานๆ ก็ควรที่จะลุกขึ้นมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง เพราะสามารถทำให้ให้ปอดขยายใหญ่และรับออกซิเจนได้มากขึ้น 20%

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคเรียนเก่ง7ข้อ

เทคนิคเรียนเก่ง7ข้อ

ข้อที่ 1 : พกปากกาสี 12 สี ติดตัว

ทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่า สีน้ำเงินที่เขียนตามปกติ

จึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา ของ stabio ก็ดีนะ ทนหลายปีเลยแหล่ะ

* สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก้อสามารถจดจำได้แล้วล่ะ


ข้อที 2 : ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้น

การใช้สมุดnote ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุดnote ที่ไม่มีเส้นนั้นจะ

ทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถว ร้านขายสมุดวาดรูปดูน่ะ

ข้อที่ 3 : บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic.

ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำ

การ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่า

การบันทึกงานในรูปแบบของ mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้

ข้อที่ 4 : Mp3

เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทักเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่าง

หากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ

ข้อที่ 5 : เอาใจครู

เอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตร์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเอง

เวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงาน ครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้น

เพราะ เราอยากเรียนวิชานั้น ๆ

ข้อที่ 6 : พูดคุยกับปากกา

ก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง

คุณหนูดี กับ ด็อกเตอร์ อะไรเนี่ยแหล่ะจำชื่อไม่ได้ ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา

ข้อที่ 7 : นั่งหน้าห้อง

นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเรา

และสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว


เครดิต ; หนังสือของคุณหนูดี เราย่อออกมาเหลือแค่นี้แหล่ะ

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

“คิดบวก-ทำต่าง-กินถูก” สูตรง่ายๆ ช่วยพัฒนาสมอง


“คิดบวก-ทำต่าง-กินถูก” สูตรง่ายๆ ช่วยพัฒนาสมอง
ชีวิตที่เร่ง รีบในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนที่ต้องตื่นแต่ไก่โห่ ตะเกียกตะกายฝ่ารถไปให้ถึงทันโรงเรียนเข้า หรือจะเป็นชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่ต้องทำงานตาม Office Hour แต่เช้าจดเย็น ไม่มีเวลาหายใจหายคอ หนักๆ เข้าบางครั้งหลายคนอาจรู้สึกว่าสมองล้า เหนื่อย เครียด พาลจะทำให้จำอะไรไม่แม่น ลืมนั่นลืมนี่ จนวิตกกังวลว่าตัวเองเริ่มจะป่วยด้วยโรค “อัลไซเมอร์” ถึงขั้นต้องไปพบแพทย์เสียเงินเสียทอง แต่จริงๆ แล้ว ทริกการเสริมศักยภาพความจำและสมองง่ายๆ ทำได้กันทุกคน!

นพ.มัยธัช สามเสน ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ให้คำแนะนำวิธีการพัฒนาศักยภาพความจำและสมองแบบง่ายๆ ด้วยคำเพียง 4 คำ คือ “คิดบวก” และ “ทำต่าง”

“คิดบวก” ของคุณหมอมัยธัช เจ้าตัวอธิบายด้วยเสียงหัวเราะอย่างเป็นกันเองว่า ที่ก่อนหน้านี้มีโฆษณาเครื่องสำอางตัวหนึ่งที่มีสปอตสั้นๆ แต่ฮิตติดปากสาวๆ ไปทั้งบ้านทั้งเมืองว่า “คิดบวก ทำให้ผู้หญิงสวยขึ้น” นั้น ไม่ห่างไกลจากความเป็นจริงเลย และที่สำคัญก็คือ นอกจากการ “คิดบวก” จะทำให้คุณสาวๆ สวยขึ้นแล้ว ยังทำให้ระบบสมองและความจำดีขึ้นอีกต่างหาก

“สมอง เป็นอวัยวะที่เราต้องใช้ตลอดเวลา ในส่วนของความจำนั้น เมื่อก่อนอาจจะมีที่บอกแบ่งชัดว่าสมองส่วนไหนจำอะไร แต่จริงๆ แล้วในงานวิจัยระยะหลังๆ เราพบว่า สมองส่วนการจำนั้นไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าอยู่ซีกไหน ตรงไหนแน่ชัด แต่การทำงานด้านความจำของสมองที่เราพบ ก็คือมันทำงานรวมๆ กันไป กับส่วนอื่นๆ อย่างอารมณ์นี่ก็เป็นเรื่องความจำนะ เราเรียนรู้ที่จะแสดงอารมณ์ในสถานการณ์ใด เพราะเราเรียนรู้จากความจำจากประสบการณ์ที่เราเคยพบ อย่างคนที่หงุดหงิดง่ายก็จะจำได้ว่า ในสถานการณ์ที่มีตัวกระตุ้นแบบนี้เขาจะหงุดหงิด ตรงข้ามกับผู้ที่คุมอารมณ์ได้ดี เขาก็จะเรียนรู้การควบคุมอารมณ์จากความจำว่าในสถานการณ์ที่เขาโดนกระตุ้นจาก สิ่งเร้าเช่นนี้ เขาควรจะคุมอารมณ์แบบไหน”

“แต่ ที่แน่ๆ ก็คือ การคิดบวกหรือการมองอะไรในแง่ดี จะทำให้สมองและศักยภาพความจำมันพัฒนา เพราะความสุขจากการคิดบวก มองโลกแง่ดี มองผู้อื่นในแง่ดี มองโลกสดใสมันเป็นความสุข เป็นรางวัลภายในที่จะทำให้สมองปีติอิ่มสุข และทำงานได้ดี”

ส่วน “ทำต่าง” ตามตำราของ นพ.มัยธัช นั้น ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า นอกจากจะคิดบวกให้จิตใจเป็นสุขเป็นรางวัลแก่สมองแล้ว การกระตุ้นให้สมองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ก็เป็นทริกในการพัฒนาระบบความจำแบบหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการลองเปลี่ยนมือที่เขียนหนังสือจากมือขวามาเป็นมือซ้าย การเปลี่ยนมือจับช้อนจากมือขวามาเป็นมือซ้าย หรือจะเป็นการทำในทักษะที่ไม่เคยทำ เช่น ไม่เคยวาดรูปก็หัดวาดรูป ไม่เคยร้องเพลงก็หัดร้องเพลง ไม่เคยเต้นรำก็หัดเต้นรำ หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดเช่น เล่นหมากกระดานจำพวกหมากรุก หมากฮอส หรือปริศนาอักษรไขว้ ครอสเวิร์ด

“กระทั่ง ไพ่ก็ช่วยให้เราพัฒนาความจำได้ครับ แต่ต้องมีข้อแม้ว่าห้ามมีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องนะครับ อีกอย่างคือ การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ไม่ใช่ของที่ไม่ดีเสมอไป การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ของเด็กหรือแม้กระทั่งในผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเล่นแล้วไป หัดเล่น ในช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดีไม่มากไป และเนื้อหาเกมไม่รุนแรงก้าวร้าว ก็ถือเป็นการกระตุ้นสมองให้มีการใช้สมองมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและศักยภาพของระบบความจำด้วยครับ”

ถึง ตรงนี้ คนเมืองกรุงจำนวนไม่น้อยจำเป็นต้องใช้เวลาในการฝ่าการจราจรไป-กลับระหว่าง ที่พักและที่ทำงาน วันหนึ่งๆ ก็หลายชั่วโมง อาจจะเริ่มรู้สึกว่ากลเม็ดเคล็ดไม่ลับการพัฒนาสมองและศักยภาพความจำของคุณ หมอดูจะไม่ยากจนเกินไปนัก อาจจะสงสัยว่าเวลาที่สูญเสียไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ในการเดินทางนั้น สามารถทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับสมองได้บ้างหรือไม่

“ถ้า ไม่เวียนหัวผมแนะนำให้อ่านหนังสือนะถ้าอ่านได้ แต่ถ้าตาลายก็ลองฟังเพลงหรืออัดบทบรรยายเรื่องที่เราสนใจ มาเสียบหูฟังระหว่างเดินทางก็ได้ครับ ทำให้สมองเราได้ทำงานเหมือนกัน”นพ.มัยธัช แนะนำ

ในขณะที่ สง่า ดามาพงศ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 อุปนายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย อธิบายถึงการเสริมศักยภาพของสมองและความจำ ในมิติของการรับประทานอาหารว่า ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าคนจะฉลาดหรือมีระบบเรียนรู้ที่ดี ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งพัฒนาได้ในวัยเรียน หากแต่เริ่มพัฒนาตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกเลยด้วยซ้ำไป!

“ตอน ลูกเกิดอยู่ในท้องแม่ อายุครรภ์ได้ 6 เดือนก็เริ่มที่จะพัฒนาสมองและการเรียนรู้ได้แล้ว ช่วงทองของการพัฒนาระบบประสาทและสมองจะอยู่ในช่วงอายุครรภ์ 6 เดือน จนกระทั่งเกิดเป็นทารก และมีอายุครบ 3 ขวบ ช่วงนี้เซลล์สมองเซลล์ประสาทจะเติบโตได้ดีที่สุด ซึ่งการพัฒนาระบบสมอง ความจำ การรับรู้ และการเรียนรู้นั้น นอกจากการกระตุ้นด้วยสัมผัสรักการโอบกอดจากพ่อแม่ การเล่านิทานหรือร้องเพลงให้ฟัง และการใช้ของเล่นกระตุ้นสมองต่างๆ แล้ว การกินก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน”

โภชนากร ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า ในช่วงวัยทองดังกล่าว เซลล์สมองและเส้นใยประสาทจะเติบโตมากที่สุด หากได้รับอาหารที่ดี จะช่วยในการสนับสนุนให้ใยประสาทเหล่านี้สานกันแน่นขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบประสาทและความจำ

“คนเรา จะพัฒนาเซลล์สมองและใยประสาทได้ไปจนอายุประมาณ 18-20 ปี หลังจากนี้จะพัฒนาได้น้อยลง น้อยมาก หรืออาจจะพัฒนาไม่ได้เลย คนเป็นพ่อเป็นแม่สามารถพัฒนาสมองลูกได้ตั้งแต่ลูกยังไม่ลืมตาดูโลก โดยตั้งแต่ในครรภ์ แม่ที่ตั้งครรภ์หากปรับการรับประทานอาหารให้ดี ลูกก็สามารถเริ่มพัฒนาได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์เลยทีเดียว”

สง่า กล่าวถึงอาหารประเภทหลักที่จำเป็นต้องรับประทานให้ได้ทุกวัน ก็คือ อาหารหลัก 5 หมู่ อันเป็นพื้นฐานของสุขลักษณะในการรับประทานอาหารนั่นเอง

“ต้อง กินให้ครบ 5 หมู่ก่อน และต้องกินอย่างเพียงพอที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเพื่อนำไปใช้ เริ่มจากโปรตีน ก็ต้องเป็นโปรตีนดีมีคุณภาพ ต่อมาก็คือ คาร์โบไฮเดรต ที่ร่างกายจะนำไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน สาม คือ วิตามิน สี่ คือ แร่ธาตุ และห้า คือ ไขมัน 5 หมู่หลักต้องกินให้ครบทุกวัน ส่วนที่เสริมเข้ามาหลักๆ ก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า3 ที่จะช่วยในการพัฒนาของสมอง ความจำ ซึ่งจะพบมากในปลาทะเล ในปลาน้ำจืดก็มี แต่ไม่เท่ากับปลาทะเล ควรรับประทานปลาที่มีโอเมก้า3 สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ซึ่งนอกจากโอเมก้า 3 แล้วปลายังให้โปรตีนอีกด้วย แต่ก็มีโปรตีนดีอื่นๆ อีก เราไม่ควรจะกินโปรตีนซ้ำๆ ซากๆ คือ โปรตีนจากปลาเป็นโปรตีนดี ย่อยง่าย แต่เราก็ควรกินสลับกับโปรตีนอื่นๆ บ้าง เช่นจากไก่ หมู หรือโปรตีนจากพืชจำพวกถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ ก็จะช่วยพัฒนาสมองให้ดีขึ้น”

นอกจาก นี้ อุปนายกสมาคมโภชนาการยังพูดถึงสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาความจำและเซลล์ สมองต่อไปอีกว่า ยังมีแร่ธาตุสำคัญ คือ ไอโอดีน และธาตุเหล็กที่จะช่วยให้การทำงานของระบบความจำและสมองเป็นปกติ โดยไอโอดีนจะพบในอาหารทะเลและเกลือเสริมไอโอดีน โดยแนะให้สตรีมีครรภ์ปรับการรับประทานอาหารจากใช้เกลือธรรมดา เป็นเกลือเสริมไอโอดีนเพื่อให้ทารกในครรภ์ได้รับไอโอดีนแต่เนิ่นๆ รวมทั้งควรรับประทานอาหารทะเลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

“ส่วน ธาตุเหล็กนั้นสำคัญไม่แพ้กัน หากเด็กได้รับไม่พอจะทำให้เซื่องซึม มีการพัฒนาของสมองและความจำช้าลง เหล็กจะมีมากในตับสัตว์ เลือด และผักใบเขียว นอกจากนี้ ที่สำคัญ อีกตัวหนึ่ง คือ วิตามิน บี12 ซึ่งจะมีมากในเนื้อสัตว์ นม และไข่ แต่จะพบในผักน้อยมาก วิตามินตัวนี้เราจะพบว่า คนที่รับประทานเจหรือทานมังสวิรัติจะขาดมาก บี12นี้เป็นวิตามินที่สำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทรวมถึงการสร้างเม็ด เลือดแดง”

สง่า ทิ้งท้ายด้วยว่า สิ่ง ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่คนยุคใหม่หลงลืมไปคือการใส่ใจกับอาหารที่เป็น อาหารจริงๆ และเชื่อว่าอาหารที่ดีมีประโยชน์ทุกๆ มื้อที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพความจำและสมองที่ดี มากกว่าอาหารเสริมประเภทซุปไก่สกัดหรืออาหารเสริมเป็นเม็ดเป็นกระปุกที่นิยม ซื้อหามารับประทานด้วยความเข้าใจผิด

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Fête du Travail


La journée internationale des travailleurs, ou fête des travailleurs, devenue fête du Travail, est une fête internationale annuelle célébrant les travailleurs. Elle est l’occasion d’importantes manifestations du mouvement ouvrier.

Instaurée à l'origine comme journée annuelle de grève pour la réduction du temps de travail, elle est célébrée dans de nombreux pays du monde le 1er mai. En Amérique du Nord, elle est célébrée officiellement le premier lundi de septembre[1],[2]. Au Royaume-Uni et en Irlande, elle est décalée le premier lundi de mai. En Australie, elle est fêtée à différentes dates proches du printemps ou de l’automne.

Elle est souvent (mais pas toujours) instaurée comme jour férié légal. Elle est parfois associée à d’autres festivités ou traditions populaires.



Les origines
En France, dès 1793, une fête du Travail est fixée le 1er pluviôse (en janvier), et fut instituée pendant quelques années par Fabre d’Églantine.

Aux États-Unis, au cours de leur congrès de 1884, les syndicats américains se donnent deux ans pour imposer aux patrons une limitation de la journée de travail à huit heures. Ils choisissent de débuter leur action le 1er mai parce que beaucoup d’entreprises américaines entament ce jour-là leur année comptable, et que les contrats ont leur terme ce jour-là.

C’est ainsi que le 1er mai 1886, la pression syndicale permet à environ 200 000 travailleurs d’obtenir la journée de huit heures. D’autres travailleurs, dont les patrons n’ont pas accepté cette revendication, entament une grève générale. Ils sont environ 340 000 dans tout le pays.

Le 3 mai, une manifestation fait trois morts parmi les grévistes de la société McCormick Harvester, à Chicago. Le lendemain a lieu une marche de protestation et dans la soirée, tandis que la manifestation se disperse à Haymarket Square, il ne reste plus que 200 manifestants face à autant de policiers.

C’est alors qu'une bombe explose devant les forces de l’ordre. Elle fait un mort dans les rangs de la police. Sept autres policiers sont tués dans la bagarre qui s’ensuit. À la suite de cet attentat, cinq syndicalistes anarchistes sont condamnés à mort ; quatre seront pendus le vendredi 11 novembre 1887 (connu depuis comme Black Friday ou vendredi noir) malgré l’inexistence de preuves, le dernier s’étant suicidé dans sa cellule. Trois autres sont condamnés à perpétuité.

Sur une stèle du cimetière de Waldheim, à Chicago, sont inscrites les dernières paroles de l’un des condamnés, August Spies : « Le jour viendra où notre silence sera plus puissant que les voix que vous étranglez aujourd’hui

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

6 ข้อง่ายๆ ใช้ชีวิตให้เป็นสุข

ช่วยเหลือพึ่งพาตัวเองก่อนที่จะให้คนอื่นช่วย
การช่วยเหลือพึ่งพากันเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อเจอกับปัญหา ตัวเราเองควรเป็นคนแรกที่ช่วยเหลือตัวเองก่อนเสมอ เพราะมันจะสร้างความภาคภูมิใจให้แก่เรา แต่ก็ไม่ถึงขนาดเย่อหยิ่ง ไม่ง้อใคร อย่าคิดว่าตัวเราสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่างได้ ไม่จำเป็นต้องสนใจใคร ถ้าคิดแบบนั้นจะทำให้เรากลายเป็นคนไร้เพื่อนและแข็งกร้าว เอาเป็นว่าพึ่งพาตนเองก่อน ที่จะไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นก็พอแล้ว

ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและปัญหา
ชีวิตมันไม่ราบรื่นเสมอไปหรอก ทุกคนย่อมเจอกับปัญหาและอุปสรรค อาจจะหนักบ้าง เบาบ้างแตกต่างหันไป ถ้าเราสามารถผ่านการต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาที่เข้ามาได้ จะทำให้เราเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น เข้าใจชีวิต และอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างเป็นสุข คนที่ท้อแท้และไม่ต่อสู้กับสิ่งใด ก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว

อ่อนน้อมถ่อมตน และเคารพผู้ใหญ่
ไม่มีใครในโลกที่ชอบคนเย่อหยิ่งจองหองหรอก การอ่อนน้อมถ่อมตน และเคารพผู้ใหญ่ เป็นวัฒนธรรมที่ดีของไทย สืบทอดปฏิบัติกันมาหลายชั่วคนแล้ว การอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยน มีน้ำใจ และเป็นมิตรกับคนรอบข้าง จะทำให้เรามีแต่คนรักใคร่ ทำให้มีเพื่อนที่ดี และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น


มองโลกในแง่ดี
การมองโลกในแง่ดี จะทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ ในชีวิตมากขึ้น และสามารถสร้างทัศนคติที่ดีให้กับชีวิต แล้วยังเป็นคนที่ไม่เครียดง่ายอีกด้วย ความเครียดจะทำให้เรามองโลกในแง่ร้าย ซึ่งก็ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข การรู้จักปล่อยวางต่างหากที่จะทำให้ชีวิตสงบสุข หัดมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ แล้วมันจะทำให้ชีวิตคุณเป็นสุขมากกว่าเดิม

ให้โอกาสและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
คนเรามีความคิดที่แตกต่างกัน ไม่มีใครในโลกที่จะคิดเหมือนกันหมด ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด การหัดยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นบ้าง จะทำให้เราได้มุมมองที่หลากหลายและแตกต่างขึ้น การให้โอกาสคนอื่นเป็นเรื่องที่ดี เพราะคงไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาดมาเลยในชีวิต เมื่อเราให้โอกาสต่อผู้อื่นอย่างไร เราก็จะได้รับโอกาสนั้นจากผู้อื่นด้วยเช่นกัน

ยกย่องและให้เกียรติผู้อื่น
คนเราไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ต้องการการยกย่อง และให้เกียรติด้วยกันทั้งนั้น เราควรรู้จักยกย่องให้เกียรติผู้อื่นบ้าง ตามสมควรแก่โอกาส และไม่ควรดูถูกความคิด หรือวิถีชีวิตของผู้อื่น ควรมองในแง่ที่ว่า แต่ละคนก็ต่างพอใจกับการดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน และนั่นจะทำให้เราได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้น


ความสุขอยู่ที่ใจของเรา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์หรือท่ามกลางสังคมแบบไหน ถ้าใจเราเป็นสุข ชีวิตของเราก็เป็นสุขด้วยเช่นกัน ความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นจากตัวเราเอง





เว็บ ritz.exteen.com

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

เลือกให้ดี เลือกให้เป็นหลักสูตรนานาชาติ


การเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษามีหลายทางเลือกให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือผู้มีวุฒิเทียบเท่าได้เลือกสอบเข้าเรียน ทั้งสอบตรงเข้าคณะในมหาวิทยาลัยที่อยากเรียน หรือสอบแอดมิชชัน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการสอบแบบใด หนึ่งในนั้นจะมีหลักสูตรภาษาอังกฤษ หรือหลักสูตรนานาชาติ ซึ่งนักเรียนที่สนใจอยากที่จะเข้าเรียนในวิชาที่เป็นภาษาอังกฤษนั้น บางรายยังสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากเข้าเรียนแล้วจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป



บรรยากาศการเรียนการสอนในเอสไอไอที


ศ.ดร.จริยา รัตนะรัต บรอคเคลแมน รักษาการผู้อำนวยการวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลถึงวิธีการเลือกเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรนานาชาติว่า ตัวเด็กต้องดูตัวเองก่อนว่าต้องการอะไร หากต้องการเพียงใบปริญญาระบุว่าจบหลักสูตรนานาชาติ จะเรียนที่ไหนก็ได้

“ยกตัวอย่างเช่นคณะบริหารก็เปิดสอนเป็นหลักสูตรภาษาไทยมาก่อนแล้ว และต่อมาก็เปิดเป็นภาคภาษาอังกฤษเขาก็ใช้อาจารย์ที่สอนหลักสูตรภาษาไทยนั่นล่ะมาสอน แต่สอนเป็นภาษาอังกฤษ หากเขาเชิญอาจารย์ไม่ประจำมาสอน คือเป็นผู้มีประสบการณ์มาสอน ตัวนักศึกษาก็ได้ความรู้ทางวิชาชีพมาด้วย
แต่สิ่งที่ขาดไปคือสิ่งที่เด็กจะได้เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง วิเคราะห์ได้ เขาได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมแบบไหน”

ในประเด็นที่หลายสถาบันการศึกษาเปิดหลักสูตรนานาชาติขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ที่สนใจเข้าศึกษาเกิดความสับสนว่าควรจะเลือกเรียนในสถาบันการศึกษาใด ถึงจะคุ้มค่ากับค่าใช้จ่าย

ดร.สวัสดิ์ ตันตระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (เอสไอไอที) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาหลายแห่งที่เปิดหลักสูตรนานาชาติทั้งๆ ที่ยังไม่มีความพร้อมกัน และบางแห่งมีหลักสูตรปกติซึ่งสอนเป็นภาษาไทยอยู่แล้วก็ไปเปิดสอนเป็นภาษาอังกฤษแล้วไปเรียกว่าเป็นหลักสูตรนานาชาติ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วควรเรียกว่าเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษมากกว่า

“หลักสูตรนานาชาติที่ดีในมุมของผมนี่ ต้องมีอาจารย์พร้อมสำหรับบริหารจัดการการเรียนการสอน ต้องมาดูแลตรงนี้โดยตรงเลย ไม่ใช่ว่าเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรภาษาไทยแล้วมาบริหารการเรียนการสอนหลักสูตรนานาชาติ ทำเหมือนกับว่าหลักสูตรนานาชาติเป็นพาร์ตไทม์ ซึ่งหลายๆ แห่งที่สอนวิศวกรรมศาสตร์ก็ทำแบบนี้

นี่คือสาเหตุที่ผมคิดว่าทาง สกอ. (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา)น่าจะมีเกณฑ์ในการเปิดเป็นหลักสูตรนานาชาติขึ้นมา แม้แต่หลักสูตรภาษาอังกฤษก็น่าจะมีเกณฑ์อะไรบ้างถึงจะยอมให้เปิดได้ ไม่ใช่คนอยากเปิดก็เปิดได้ทั้งหมดเลย หรือหลักสูตรนานาชาติ จะต่างกับหลักสูตรภาษาอังกฤษอย่างไรบ้างก็ต้องมีเกณฑ์ที่ชัดเจนออกมา”



ศ.ดร.จริยา รัตนะรัต บรอคเคลแมน รักษาการผู้อำนวยการวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล


ส่วนเรื่องค่าหน่วยกิตในการเรียนการสอนหลักสูตรนานาชาติซึ่งสูงกว่าหลักสูตรภาษาไทยนั้น ดร.สวัสดิ์กล่าวว่า หากมีการจัดการเรียนการสอนดีอย่างแท้จริงแล้ว ในเรื่องของเนื้อหาทางวิชาการก็ไม่แตกต่างกัน และผู้เรียนก็มีทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า

“สิ่งที่ได้แตกต่างกันระหว่างเรียนที่ต่างประเทศกับเรียนหลักสูตรนานาชาติในประเทศไทย น่าจะเป็นเรื่องของการเรียนรู้ทางวัฒนธรรม แน่นอนว่าไปเรียนที่ต่างประเทศผู้เรียนอยู่กับสิ่งแวดล้อมแบบนั้นก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรมแบบประเทศที่ไปเรียนอยู่ด้วย แต่เรื่องวิชาการก็อย่างที่บอกล่ะว่าถ้าเรียนที่ที่ได้มาตรฐานแล้วไม่ต่างกัน

อย่างตอนนี้ไปเรียนที่อเมริกาผมคิดว่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านต่อปี แต่ถ้าเรียนในเมืองไทยก็ประมาณ 2 – 3 แสนต่อปี ตรงนี้เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งในการเลือกว่าคุ้มไหมที่จะไปเรียนต่างประเทศ และได้เรียนรู้วัฒนธรรมซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ได้กลับมาของผู้เรียน”

ในเรื่องค่าใช้จ่ายที่สุงกว่าหลักสูตรภาษาไทยนั้น ศ.ดร.จริยา ยกตัวอย่างการทำก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามว่า ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามประกอบด้วยเส้น ผัก และเครื่องประกอบอื่นจะเป็นไก่ เป็นหมู หรืออะไรก็แล้วแต่คนปรุง ซึ่งราคาไม่สูง แต่ถ้าจะทานก๋วยเตี๋ยวราดหน้าปลากะพงก็มีราคาสูง

“ถึงแม้จะเป็นก๋วยเตี๋ยวชนิดเดียวกัน อยู่ที่คนปรุงอีกล่ะว่าใช้วัตถุดิบอย่างไร ใช้ผักปลอดสารพิษหรือเปล่า ใช้หมูปราศจากสารเร่งเนื้อแดงหรือไม่ ซึ่งหากไม่ใช้ของมีคุณภาพเช่นนี้ก็ได้ก๋วยเตี๋ยวหน้าตาเหมือนกัน แต่ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็เกิดจากวัตถุดิบทั้งนั้น เช่นเดียวกันค่าเล่าเรียนหากไปเรียนที่ต่างประเทศอย่างไปที่อเมริกาเดี๋ยวนี้คิดว่าเกิน 36,000 เหรียญต่อปีแล้ว ถ้าเลือกที่เรียนที่มีคุณภาพจริงๆ ในประเทศไทยก็ใช้ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า”

ทั้งนี้การเรียนการสอนแบบหลักสูตรนานาชาตินั้น ศ.ดร.จริยากล่าวว่าจะไม่ใช่การเรียนแบบท่องจำ จะเป็นการเรียนการสอนแบบเรียนให้เข้าใจแล้วสามารถนำมาวิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง

“นศ.ที่มาเรียนในปีแรกจะต้องปรับตัว ถ้ามาจากรร.ไทยๆ ต้องปรับตัวมาก จากการท่องจำเป็นการทำความเข้าใจ เพราะการวัดผลไม่ได้วัดผลจากการท่องจำ แต่เป็นการวัดผลจากความเข้าใจ เพื่อให้นักศึกษาที่จบใหม่มาต้องคิดเป็น วิเคราะห์เป็น คิดใหม่เป็น ถ้าคุณท่องจำ พอคุณได้ปริญญาไปแล้วคุณก็ลืม นี่คือสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดกันว่าเหมือนอัดอาหารเข้าไปแล้วคายออกมา ยังไม่ได้ย่อยเลย แล้วก็ลืม อาหารที่อัดเข้าไปไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเลย ไม่ได้ไปเป็นอาหารสมอง”



ดร.สวัสดิ์ ตันตระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (เอสไอไอที) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ดร.สวัสดิ์กล่าวถึงเรื่องภาษาอังกฤษที่ใช้ในการเรียนนั้น ทุกสถาบันการศึกษาน่าจะมีหลักเหมือนกันในการคัดเลือกผู้เรียนเข้าศึกษา คือผู้ที่จะเข้าเรียนในหลักสูตรนานาชาติหรือภาคภาษาอังกฤษควรมีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่บ้าง

“พื้นฐานภาษาอังกฤษนี่เอาแค่เพียงพอหรือพอเพียงที่จะเข้าเรียนได้ก็พอแล้ว พอเพียงคือพอที่จะฟังได้รู้เรื่อง คือฟังแล้วเข้าใจ แม้ว่าจะเรียนโรงเรียนไทยมาก็ตามก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องพูดภาษาอังกฤษได้แบบคล่องเปรี๊ยะ เหมือนผู้ที่เรียนโรงเรียนนานาชาติมา แต่ก็ต้องพอฟังได้รู้เรื่อง และเมื่อเข้ามาเรียนแล้วต้องขยันฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ในระยะเวลา 4 ปีที่เรียนก็สามารถที่จะจบการศึกษาได้และภาษาก็จะดีไปด้วย”

ด้าน พรรัมภา ตลึงจิตร อดีตนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ (ภาคอินเตอร์) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าตัวเธอเองนั้นมีโอกาสได้งานทำก่อนใครๆ ที่เรียนมาพร้อมๆ กันด้วย 2 เหตุผล เหตุผลแรกก็คือการพยายามค้นหาตัวเองให้เจอก่อนว่าชอบงานอะไร และเมื่อค้นพบแล้วก็ต้องอดทนทำงานไปก่อนเพื่อที่จะเรียนรู้ระบบการทำงาน

“จบมาได้ประมาณสองปีแล้ว ก็เปลี่ยนงานมา 3 ที่แล้วค่ะ ตอนนี้ก็ได้ทำงานเป็น Regional Consultant ในบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นงานที่ตัวเองชอบแล้วก็ได้ใช้ภาษาด้วย ต้องบอกว่าตัวเองถือว่าได้งานเร็วนะหลังจากเรียนจบ เพราะพยายามหางานอย่างที่ตัวเองชอบจริงๆ

ตัวเองชอบภาษาก็เลือกงานที่ใช้ภาษา ตอนที่ได้งานทำส่วนหนึ่งก็เพราะว่าตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้ อย่างตอนที่ไปสัมภาษณ์งาน คนที่สัมภาษณ์ก็บอกว่าโอกาสที่เราจะได้งานมีสูงกว่าคนอื่นเพราะว่าเราพูดภาษาได้ และเข้าใจในภาษาที่เขาสื่อสารด้วย

ต้องบอกว่าดีที่ตอนเลือกเรียน ตัวเองเลือกที่จะเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ภาคอินเตอร์ เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์แล้ว ก็ได้ภาษาด้วย ทำให้พอเรียนจบมาได้งานง่ายกว่าคนอื่นๆ”




ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

วิธีรับประทาน ไม่ให้ง่วงซึมหลังเที่ยง

หลายๆ คนพอหลังอิ่มแปล้จากมื้อเที่ยงแล้วจะรู้สึกขี้เกียจ เซื่องซึม สลบไสล เฉี่อยชาไม่อยากทำงาน ถ้าได้หลับซักงีบคงดีเยี่ยม ว่ากันว่าช่วงเวลา Twilight zone ที่จะเกิดอาการเช่นนี้ คือช่วงเวลาบ่างโมง - 4 โมงเย็น


- กินอาหารเช้าให้ถูกหลัก คือกินภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังจากตื่นนอน อาหารเช้าที่ดีจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีความสมดุลไปตลอดวัน แถมด้วยอาหารประเภทโปรตีนไขมันต่ำปริมาณเล็กน้อยในตอนเช้า และทุกมื้อระหว่างวัน เพราะจะให้พลังงานได้ยาวนาน เช่น ไข่ นมสักแก้ว โยเกิร์ต กับขนมปังธัญพืชปิ้งสักแผ่น

- กินอาหารเที่ยงให้พลังงานสูง ประกอบด้วยโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งโปรตีนจะกระตุ้นสารในสมองคือ catecholamines ที่จะทำให้คุณกระฉับกระเฉง ลองเลือกไก่ (ต้องทำให้สุกๆ ก่อน) อาหารทะเล เนื้อ เต้าหู้ ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ ผักต่างๆ เช่น บล็อคโคลี ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง และผลไม้สัก 1 ส่วน

- เลี่ยงสารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน บุหรี่ เพราะเป็นตัวทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแกว่งไกว การดื่มกาแฟยังทำให้ปัสสาวะบ่อย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ร่างกายสูญเสียน้ำและระดับเกลือแร่

- ดื่มน้ำเปล่า เพราะน้ำเปล่าไม่มีแคลอรี ไม่มีไขมัน ไม่มีโคเลสเตอรอล แต่จะช่วยระบบการเผาผลาญไขมันและฟื้นชีวิตชีวาคืนพลังงานให้กับร่างกายด้วย น้ำยังช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ลำเลียงออกซิเจน ฮอร์โมน สารอาหาร ภูมิต้านทาน และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรตีนและเอนไซม์ที่จำเป็นต่ำระบบเมตาบอลิซึมด้วย

- หยุดแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้คุณรู้สึกเซื่องซึม เหตุผลคือร่างกายสูญเสียสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินบี (ไธอามีนและโพเลท) ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นที่สมองต้องการ

- เลือกกินเมื่อรู้สึกหิว ถ้า คุณรู้สึกเพลียให้กินผลไม้หรืออาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชต่างๆ แทน การกินของขบเคี้ยวที่มีน้ำตาลจะทำให้คุณกระชุ่มกระชวยเพียงชั่ววูบแล้วก็จะ หมดแรงลงอย่างรวดเร็ว ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงโซดาหรือน้ำหวานในช่วงบ่าย ของขบเคี้ยวแก้หิวเพื่อสุขภาพที่ขอแนะนำ เช่น คุกกี้ที่ผสมผลไม้ คุกกี้ผสมข้าวโอ๊ต องุ่นสักพวง โยเกิร์ต แครอท เซเลอรี ถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น

- หลับตาสักงีบ ถ้าคุณรู้สึกง่วงมากจริงๆ อย่างเลือกที่จะดื่มกาแฟ แต่ลองหลับตาหรืองีบสัก 10-15 นาที ก็จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นมาก

- อยู่ห่างๆ อาหารไขมันสูง เช่น ชีส เนย มาการีน ครีม อาหารทอดทั้งหลาย เพราะจะมีแคลอรี่สูง ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมาก และจะทำให้คุณรู้สึกเฉี่อยชา

- ออกกำลังกาย เป็นทางที่ดีที่จะชาร์ตแบตเตอรี่คืนมาอีกครั้งให้ร่างกายตื่นตัว เมื่อรู้สึกเหนื่อยจนเอนเดอร์ฟินหลั่งในระดับสูง ก็จะช่วยให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งก็จะช่วยฟื้นพลังงานให้คุณ ลองง่ายๆ เดินรอบๆ สำนักงานสัก 10 นาที นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานแล้วยืดกล้ามเนื้อ บิดบริหารร่างกายสักครู่ก็จะช่วยเพิ่มความตื่นตัวให้คุณได้พอควร

ที่มา สนุก.คอม

วิธีรับประทาน ไม่ให้ง่วงซึมหลังเที่ยง

หลายๆ คนพอหลังอิ่มแปล้จากมื้อเที่ยงแล้วจะรู้สึกขี้เกียจ เซื่องซึม สลบไสล เฉี่อยชาไม่อยากทำงาน ถ้าได้หลับซักงีบคงดีเยี่ยม ว่ากันว่าช่วงเวลา Twilight zone ที่จะเกิดอาการเช่นนี้ คือช่วงเวลาบ่างโมง - 4 โมงเย็น


- กินอาหารเช้าให้ถูกหลัก คือกินภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังจากตื่นนอน อาหารเช้าที่ดีจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีความสมดุลไปตลอดวัน แถมด้วยอาหารประเภทโปรตีนไขมันต่ำปริมาณเล็กน้อยในตอนเช้า และทุกมื้อระหว่างวัน เพราะจะให้พลังงานได้ยาวนาน เช่น ไข่ นมสักแก้ว โยเกิร์ต กับขนมปังธัญพืชปิ้งสักแผ่น

- กินอาหารเที่ยงให้พลังงานสูง ประกอบด้วยโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งโปรตีนจะกระตุ้นสารในสมองคือ catecholamines ที่จะทำให้คุณกระฉับกระเฉง ลองเลือกไก่ (ต้องทำให้สุกๆ ก่อน) อาหารทะเล เนื้อ เต้าหู้ ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ ผักต่างๆ เช่น บล็อคโคลี ผักโขม หน่อไม้ฝรั่ง และผลไม้สัก 1 ส่วน

- เลี่ยงสารกระตุ้น เช่น คาเฟอีน บุหรี่ เพราะเป็นตัวทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแกว่งไกว การดื่มกาแฟยังทำให้ปัสสาวะบ่อย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ร่างกายสูญเสียน้ำและระดับเกลือแร่

- ดื่มน้ำเปล่า เพราะน้ำเปล่าไม่มีแคลอรี ไม่มีไขมัน ไม่มีโคเลสเตอรอล แต่จะช่วยระบบการเผาผลาญไขมันและฟื้นชีวิตชีวาคืนพลังงานให้กับร่างกายด้วย น้ำยังช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ลำเลียงออกซิเจน ฮอร์โมน สารอาหาร ภูมิต้านทาน และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรตีนและเอนไซม์ที่จำเป็นต่ำระบบเมตาบอลิซึมด้วย

- หยุดแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้คุณรู้สึกเซื่องซึม เหตุผลคือร่างกายสูญเสียสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินบี (ไธอามีนและโพเลท) ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นที่สมองต้องการ

- เลือกกินเมื่อรู้สึกหิว ถ้า คุณรู้สึกเพลียให้กินผลไม้หรืออาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชต่างๆ แทน การกินของขบเคี้ยวที่มีน้ำตาลจะทำให้คุณกระชุ่มกระชวยเพียงชั่ววูบแล้วก็จะ หมดแรงลงอย่างรวดเร็ว ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงโซดาหรือน้ำหวานในช่วงบ่าย ของขบเคี้ยวแก้หิวเพื่อสุขภาพที่ขอแนะนำ เช่น คุกกี้ที่ผสมผลไม้ คุกกี้ผสมข้าวโอ๊ต องุ่นสักพวง โยเกิร์ต แครอท เซเลอรี ถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น

- หลับตาสักงีบ ถ้าคุณรู้สึกง่วงมากจริงๆ อย่างเลือกที่จะดื่มกาแฟ แต่ลองหลับตาหรืองีบสัก 10-15 นาที ก็จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นมาก

- อยู่ห่างๆ อาหารไขมันสูง เช่น ชีส เนย มาการีน ครีม อาหารทอดทั้งหลาย เพราะจะมีแคลอรี่สูง ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมาก และจะทำให้คุณรู้สึกเฉี่อยชา

- ออกกำลังกาย เป็นทางที่ดีที่จะชาร์ตแบตเตอรี่คืนมาอีกครั้งให้ร่างกายตื่นตัว เมื่อรู้สึกเหนื่อยจนเอนเดอร์ฟินหลั่งในระดับสูง ก็จะช่วยให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งก็จะช่วยฟื้นพลังงานให้คุณ ลองง่ายๆ เดินรอบๆ สำนักงานสัก 10 นาที นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานแล้วยืดกล้ามเนื้อ บิดบริหารร่างกายสักครู่ก็จะช่วยเพิ่มความตื่นตัวให้คุณได้พอควร

ที่มา สนุก.คอม

ติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆได้ที่ www.urrac.com/rangsit

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

10 อาชีพฮอตฮิตเรียนแล้วไม่ตกงาน

- สวนดุสิตโพลชี้ผลวิจัยล่าสุด บัญชี แพทย์ บริหาร คอมฯ วิศวะ ครองแชมป์ได้งานสูง
- ระบุเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ตัวแปรในการตัดสินใจเรียน-เข้าสู่อาชีพ
- เผยโลกไร้พรมแดนสร้างโอกาสใหม่ แอนิเมชั่น-บันเทิง จุดพลุเส้นทางอินเทรนด์
- วงในกระตุ้นการตื่นตัว โลกเข้าสู่สังคมที่ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนล้วนต้องการการพึ่งพาและเชื่อมโยงกัน

การเปลี่ยนผ่านของโลกตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ยุคสังคมเกษตร ยุคสังคมอุตสาหกรรม จนกระทั่งถึงยุคสังคมฐานความรู้ เมื่อยุคเปลี่ยนไปก็ย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม อุตสาหกรรม ตลอดจนโมเดลทางธุรกิจ

แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาและการเข้าสู่อาชีพในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรนั้น "ผู้จัดการรายสัปดาห์" ติดตามความเคลื่อนไหวล่าสุดมานำเสนอ

สวนดุสิตโพลจับกระแส
อาชีพอิน-เอ้าท์เทรนด์

รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สวนดุสิตโพล ม.ราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับกลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ ที่มีต่อสาขาวิชาที่เรียนแล้วจะได้งานทำ โดยสำรวจจากผู้ประกอบการผู้ใช้บัณฑิตที่กระจายตามสาขาวิชาต่างๆ, นักวิชาการที่มีความสำคัญในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของชาติ, กลุ่มนายธนาคารซึ่งมีผลต่อการให้กู้ยืมเงิน, นักปฏิบัติการ ผู้บริหารระดับกลาง ฝ่ายบัญชี หัวหน้าฝ่ายพัสดุการคลังนโยบาย ฯลฯ รวม 1,376 ตัวอย่าง

เนื่องจากคนกลุ่มนี้ไม่ได้มองธุรกิจของตัวเองแค่วันนี้ แต่มองไปถึง 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อสะท้อนออกมาว่าคนกลุ่มนี้ต้องการคนทำงานประเภทใดเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และเป็นส่วนหนึ่งที่ม.ราชภัฎสวนดุสิตนำมาปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรต่างๆ

นอกจากนี้ เป็นการแนะแนวทางให้กับอาจารย์แนะแนว 200 กว่าคนทั่วปริมณฑล เนื่องจากครูแนะแนวจะต้องดูเรื่องการบริหารความเสี่ยงการบริหารอนาคต เพราะการแนะแนวต่อไปในอนาคตจะต้องประกันความเสี่ยงว่าเรียนแล้วจะต้องไม่ตกงาน และเพราะความต้องการแรงงานมีความเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของตลาด และภาวะเศรษฐกิจ

ผลการสำรวจ 10 อันดับสาขาที่หางานง่าย ได้แก่ อันดับที่ 1 การบัญชี 19.71% อันดับที่ 2 แพทยศาสตร์ 18.75% อันดับที่ 3 บริหารธุรกิจ 12.02% อันดับที่ 4 คอมพิวเตอร์ 10.10% อันดับที่ 5 วิศวกรรมศาสตร์ 10.10% อันดับที่ 6 การตลาด 8.65% อันดับที่ 7 นิติศาสตร์ 8.17% อันดับที่ 8 พยาบาลศาสตร์ 4.81% อันดับที่ 9 การจัดการ 4.33% และอันดับที่ 10 รัฐศาสตร์ 3.36%

รศ.ดร.สุขุม กล่าวเสริมว่า เหตุที่สาขาการบัญชีอยู่ในอันดับ 1 เนื่องจากการทำธุรกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารธุรกิจ การจัดการ การประกอบกิจการไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ต้องใช้บุคลากรทางด้านบัญชีทั้งสิ้น นอกจากนี้ หากธุรกิจมีนโยบายดีเท่าใดแต่ก้นถุงรั่ว หรือไม่มีการคิดเรื่องความคุ้มทุน ค่าใช้จ่าย ก็จบ

สำหรับแพทย์นั้นถือว่ามีการขาดแคลนบุคลากร แต่คนที่จะเรียนได้ต้องมีสติปัญญาที่ดี และต้องมีค่าใช้จ่ายในการเรียนที่สูงถ้าไม่ได้ทุนรัฐบาลซึ่งแพทย์และพยาบาลอยู่ในอันดับทอปเท็นตลอด ส่วนการตลาดหรือบริหารจริงๆ แล้วต้องยอมรับว่า ความต้องการด้านบุคลากรด้านการตลาดมีมาก แม้กระทั่ง มหาวิทยาลัยยังต้องมีฝ่ายการตลาดของตัวเองเพราะยุคของการแข่งขันมีมากขึ้น

ด้านคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันเนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีมากขึ้นทำให้ต้องอาศัยคนกลุ่มนี้ สำหรับนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ด้วยความที่โลกอยู่ในยุคของการแข่งขัน การแย่งชิงทรัพยากรที่มีจำนวนจำกัด เรื่องของกฎหมาย การปกครองเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ

โดยหากเปรียบเทียบผลวิจัยระหว่างปีที่ผ่านมากับปีนี้เห็นการเปลี่ยนแปลง คือ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์เดิมอยู่ต่ำกว่าทอปเท็น แต่ที่สามารถก้าวขึ้นอันดับทอปเท็นได้เชื่อว่าเป็นเพราะปัจจุบันเกิดกรณีความขัดแย้งที่ต้องอาศัยด้านกฎหมายมากขึ้น ในขณะที่ปีที่แล้วการเรียนสาขาสิ่งแวดล้อมมีความชัดเจนมากขึ้นก็ติดอยู่ในอันดับ

หรืออย่างเมื่อสองปีก่อน ในช่วงรัฐบาลของอดีตนายก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สาขาวิชาที่ขึ้นทอปเท็นก็จะเป็นเรื่องของบริหารจัดการ การจัดการองค์กร เพราะรัฐบาลเน้นเรื่องของธุรกิจ หรือถ้าเป็น 4-5 ปีก่อนเรื่องของไอทีมาแรงก็เป็นไอที เทคโนโลยีสารสนเทศ

อย่างไรก็ดี การทำโพลสำรวจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ต่างๆ เนื่องจากการศึกษาของไทยขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เช่น หลังการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมนี้ ไม่ว่าพรรคการเมืองใดได้ขึ้นเป็นรัฐบาลก็เชื่อว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายซึ่งส่งผลต่อการศึกษาอย่างแน่นอน

เช่น ถ้ารัฐบาลมุ่งไปเรื่องของอุตสากรรมหลักสูตรด้านอุตสาหกรรมก็จะเกิด หรืออย่างช่วงที่ผ่านมารัฐบาลมุ่งเรื่องของการเงินธนาคารทำให้ธนาคารเกิดขึ้นหลายแห่ง หลักสูตรด้านการเงินธนาคารก็เกิด

หรือช่วงที่มีเรื่องของประชาธิปไตยคนก็มองว่าถ้าต้องการเรียนกฎหมายก็ควรเรียนที่ธรรมศาสตร์ นอกจากนี้ หากหลังการเลือกตั้งเกิดรัฐประหารอีกนโยบายต่างๆ ก็ต้องเปลี่ยน อาชีพต่างๆ ที่จะเรียนก็จะมีผลเปลี่ยนแปลงไปด้วย

นิเทศ-ถา'ปัด-มัณฑนศิลป์-อักษร-พุทธ
เรียนหดเหตุเข้าอุตสาหกรรมยาก

รศ.ดร.สุขุม ยังได้แสดงความคิดเห็นถึงคณะหรือสาขาที่เรียนแล้วส่งผลต่อการหางานว่า ม.ราชภัฎสวนดุสิตยังได้นำข้อมูลคณะหรือสาขาที่เดิมเคยอยู่ในอันดับที่ได้รับความนิยมแต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงมาสอบถามกับกลุ่มผู้ประกอบการในสาขาๆ นั้นถึงเหตุผล

โดยคณะที่เห็นการลดลง คือ นิเทศศาสตร์ ซึ่งมีการสอบถามกองบรรณาธิการของทั้งสำนักพิมพ์ และสถานีโทรทัศน์ พบว่าแม้ว่าปริมาณผู้เรียนจะมีมาก แต่คนในวงการไม่มีการเกษียณอายุการทำงานทำให้ตลาดแรงงานแคบ

ส่วนสถาปัตยกรรม มัณฑนศิลป์ อักษรศาสตร์ ก็มีการเรียนลดลงโดยปริยายทั้งที่คนมองว่าภาษาไทยมีการใช้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากปัจจุบันการแข่งขันในตลาดมีสูงและสภาพเศรษฐกิจแบบนี้คนมองเรื่องของปากกัดตีนทีบมากกว่า ทำให้การมองเรื่องสุนทรียภาพและศิลปะลดลง หรือทางด้านพุทธศาสตร์ก็ได้รับผลกระทบแม้ว่าตลาดจะมองว่าคนขาดด้านจริยธรรมกันมาก แต่เรียนทางด้านนี้แล้วจบออกมาก็ไม่มีงานทำ

สำหรับการแก้ปัญหาในเรื่องของหลักสูตรหรือสาขาที่ได้รับความนิยมลดลงนั้น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามีกฎกำหนดไว้อยู่แล้วเมื่อครบ 5 ปีหลักสูตรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากหากไม่เปลี่ยนจะไม่ทันกับความต้องการของตลาด ดังนั้น วิทยาการความรู้ต่างๆ จะต้องสอนเพื่อวันนี้ไม่ใช่วันพรุ่งนี้

เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบันมีครอบคลุมไปหลายเรื่องทั้งคมนาคม สื่อสารการท่องเที่ยว ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนการเรียน เพราะเป็นการเรียนเพื่ออนาคต หรือ นิเทศศาสตร์มีเรื่องของการสื่อสารนิเทศศาสตร์ก็ต้องปรับ นอกจากนี้ ยังต้องมีการจัดการความรู้ของแต่ละวิชาชีพ เพราะมีการเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา

รศ.ดร.สุขุม กล่าวเสริมในมุมมองของการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้แล้วทำให้หางานทำยาก ว่า การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้จะส่งผลกระทบต่อการหางานทำของนักศึกษาถ้าในแง่ของสถาปัตยกรรมไทย ศิลปกรรมไทย มัณฑนาการ ฯลฯ เพราะมีปัจจัยเรื่องของความรีบร้อน งบประมาณแล้ว คอมพิวเตอร์เข้ามาชดเชยได้ แต่ชดเชยด้านสุนทรียภาพไม่ได้ เช่น ภาพของอาจารย์เฉลิมชัยที่ก๊อปมาขายกับภาพที่เขียนสด แรกๆ คนอาจจะนิยมภาพก๊อปแต่ถึงจุดหนึ่งคนจะเริ่มต้องการภาพที่วาดโดยอาจารย์เอง อย่างไรก็ตาม อาชีพที่เกี่ยวกับสุนทรียภาพถือเป็นอาชีพทำเงิน

การนำคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีมาใช้ ก็ยังต้องใช้คนเข้ามาสร้าง ใช้คนออกแบบ ใช้ความคิดของคน โดยเฉพาะถ้าเป็นการผลิตสินค้าเพื่อคนกลุ่มอายุ 40-50 ปีแล้ว ลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการสุนทรียภาพ คอมพิวเตอร์ไม่สามารถชดเชยตรงนี้ได้

"เช่น แต่เดิมการสร้างบ้านจัดสรรมุ่งทำบ้านสไตล์ยุโรป แต่ตอนนี้กลับมาเป็นรีสอร์ทในเมือง ทำให้งานที่เกี่ยวกับการจรรโลงใจจึงเป็นอาชีพอมตะ แม้ว่า มหาวิทยาลัยอื่นๆ อาจจะมีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยต่างๆ แต่ทำไมคนถึงยังอยากรู้ศิลปะของอาจารย์ ศิลป์ พีระศรี ว่าเขียนยังไง เพราะคนที่ต้องการความเป็นต้นกำเนิดเป็นคนที่มีอำนาจการซื้อ" รศ.ดร.สุขุม วิเคราะห์

ธรรมศาสตร์ชี้บัญชีแชมป์
แต่ต้องมีคุณภาพ-ได้ภาษา

รศ.เกศินี วิฑูรชาติ คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การที่ผลการสำรวจออกมาว่าบัญชีอยู่ในอันดับ 1 ของสาขาที่เป็นที่ต้องการของตลาด เพราะปัจจุบันบัญชีอยู่ในภาวะขาดแคลน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ก็ต้องการบุคลากรทางด้านนี้ หรือแม้แต่ธุรกิจที่กำลังปิดตัวคนที่จะถูกเลิกจ้างเป็นคนสุดท้ายก็คือนักบัญชี ถือว่าเป็นอาชีพที่สำคัญมาก

นอกจากนี้ จากที่เคยคุยกับบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชียังพบว่าคนที่จบด้านนี้ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะบัณฑิตที่ผลิตจากมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ แม้ว่าจะมีการให้มหาวิทยาลัยผลิตบัณฑิตป้อนสู่ตลาดมากขึ้น แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่มีนโยบายผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรีเพิ่ม และยังเห็นว่าการผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยเอกชนสามารถทำได้ ธรรมศาสตร์จึงมีเป้าหมายไปผลิตบัณฑิตในระดับปริญญาโทและเอกในทุกสาขาวิชาแทน เพราะปริมาณบุคลากรของคณะมีจำนวนจำกัด และตลาดต้องการบัณฑิตที่มีคุณวุฒิทางการศึกษาสูงขึ้น

ส่วนสาขาแพทย์ศาสตร์มีความจำเป็นแน่นอนอยู่แล้ว เนื่องจากยังไม่พอกับความต้องการโดยเฉพาะชนบท ส่วนวิชาชีพทางด้านกฎหมายก็มีความจำเป็นมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจปัจจุบันต้องมีนักกฎหมายมากขึ้น ซึ่งทั้ง 3 สาขาวิชานี้มีความสำคัญมากขึ้นทุกที

อย่างไรก็ดี นักบัญชีที่ตลาดต้องการ คือ นักบัญชีที่มีคุณภาพเป็นสำคัญ ซึ่งปัจจุบันคนที่จะมาทำงานด้านบัญชีไม่ใช่มีแค่ความรู้ทางด้านบัญชีเท่านั้น ยังต้องมีองค์ความรู้ด้านภาษาที่ 2 และ 3 ด้วย เพราะปัจจุบันธุรกิจในไทยมีชาวต่างชาติมาลงทุนมากขึ้น ดังนั้น การรู้เรื่องของภาษาเป็นปัจจัยสำคัญทั้ง อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน และเชื่อว่าในอนาคตอาจจะขยายไปยังภาษาอื่นๆ

ด้วยเหตุผลดังกล่าวคณะจึงให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาที่ 2 และ 3 โดยได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท เอ็กซอนโมบิล จำกัด ให้ทุนเรียนภาษากับนักศึกษาบัญชีระดับปริญญาตรี 50 ทุนเพื่อไปเรียนภาษาที่ 3 นอกจากนี้ ยังต้องมีความรู้เท่าทันการทำบัญชีทั้งไทยและต่างประเทศด้วย เนื่องจากปัจจุบันคนหนึ่งคนต้องมีความรู้ในหลายด้านมากขึ้น

ส่วนปัจจัยที่ทำให้นักศึกษาปริญญาตรีต่างคณะหันมาเรียนปริญญาโทสาขาบัญชีมากขึ้น เพราะเป็นวิชาชีพเฉพาะ ต้องจบทางด้านบัญชีเท่านั้น ในขณะที่ในอดีตคนที่จบจากบริหารก็สามารถมาทำได้ เมื่อมีการออกพรบ.การบัญชี 2543 ทำให้คนที่ไม่เรียนด้านบัญชีต้องเรียนเพิ่ม

นอกจากนี้ ผู้บริหารหรือคนในสายอาชีพอื่นก็มองว่าการเรียนบัญชีทำให้เขามีความรู้ทางด้านการเงินอย่างลึกซึ้งซึ่งส่งผลต่อการบริหารงานของเขาได้ และทำให้รู้ว่าธุรกิจมีทิศทางแบบใด โดยคณะมีการเปิดหลักสูตรปริญญาโท สาขาการบัญชี (Master of Accounting Program) (MAP) ซึ่งเปิดรับผู้จบจากทุกคณะแต่จะต้องมาเรียนวิชาพื้นฐานที่กำหนดไว้เพิ่ม เช่น วิชาบัญชีการเงิน ต้นทุน ฯลฯ

รศ.เกศินี กล่าวเสริมถึงสถานการณ์บัณฑิตด้านบัญชีของธรรมศาสตร์ว่า จากข้อมูลของคณะพบว่านักศึกษาระดับปริญญาตรีจบไปแล้วมีงานทำถึง 95% หลังจากจบการศึกษาไปแล้ว 4-5 เดือน ส่วนอีก 5% กำลังรองานหรือศึกษาต่อซึ่งมั่นใจว่านักศึกษาทุกคนมีงานทำทั้งหมด

จุฬาฯ มั่นใจวิชาการแน่น
ห่วงครองตน-ทนงาน-ภาษา-รอบรู้

รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ หัวหน้าภาควิชาพาณิชยศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากผลสำรวจที่พบว่าบัญชีและแพทย์เป็นคณะที่จบแล้วมีอาชีพรองรับนั้นไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นแต่เกิดมาประมาณ 20 ปีแล้ว เนื่องจากทั้งสองอาชีพเป็นวิชาชีพที่คนจะทำได้ต้องจบทางมาโดยตรง นอกจากนี้ คนที่เรียนจบบัญชีไม่ใช่ต้องออกไปทำบัญชีอย่างเดียว แต่ยังสามารถไปทำงานเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีได้ด้วยทำให้สายงานขยาย

ส่วนบริหารแม้ว่าจะคนทำงานด้านนี้อยู่มากแล้ว แต่บริหารเป็นคณะที่กว้าง ไม่ว่าจะเป็นบริหารการตลาด การจัดการ ฯลฯ ดังนั้นจะต้องดูว่าที่มีอยู่มากเป็นเรื่องบริหารอะไร สำหรับนิติศาสตร์ และวิศวกรรมต้องบอกว่าสองวิชานี้เป็นวิชาชีพเหมือนกับแพทย์ศาสตร์

อย่างไรก็ตาม การจะเลือกเรียนคณะใดจะต้องมีอาชีพรองรับ ซึ่งการสร้างอาชีพให้กับนักศึกษา สำหรับจุฬาฯ ก็มีการช่วยนักศึกษาหางานทำด้วยการจัดจ๊อบแฟร์ต่างๆ และมีการเตรียมตัวนักศึกษาให้พร้อมกับการทำงาน เนื่องจากวิชาความรู้ไม่ใช่สิ่งที่น่าห่วงสำหรับนักศึกษา แต่สิ่งที่ห่วงคือการครองตน การสู้งาน ภาษาที่ 2-3 และความรอบรู้

ม.รังสิตเสริมความรู้
พัฒนา นศ.ก่อนทำงาน

สมเกียรติ รุ่งเรืองวิริยะ ผู้อำนวยการสำนักงานประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นของม.รังสิตในเรื่องนี้มาจาก 2 ฐานะ คือในฐานะของผู้ที่ต้องรับคนทำงาน และเป็นผู้ผลิตบัณฑิตออกไป โดยมองว่าสายที่มีปัญหาด้านการหางาน คือ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เนื่องจากหากผลิตไม่ตรงกับวิชาชีพแรงงานหรือไม่เก่งพอก็จะหางานทำยาก เพราะจริงๆ แล้วตลาดแรงงานไม่ได้เต็มแต่ขาดคนเก่งเข้าไปทำงาน

เช่น นิเทศศาสตร์คนมองว่าตลาดเริ่มเต็ม แต่จริงๆ แล้วอุตสาหกรรมด้านนี้ของไทยยังขาดบุคลากรอยู่ เพราะการทำงานตรงนี้เป็นแบบระบบอาเสี่ย คนที่ทำจริงๆ มีอยู่ไม่กี่คน อย่างผู้กำกับดังๆ ทั้งสมัยก่อนและสมัยนี้ก็ยังมีอยู่ไม่กี่คน

นอกจากนี้ วงการวิชาชีพเหล่านี้อยากได้คนที่มีความรอบรู้ที่หลากหลายทำให้หลายมหาวิทยาลัยต้องมีการปรับตัวจากเดิมที่ฝึกงานไม่นานก็กลับไปเรียนต่อ ปัจจุบันก็มีการปรับให้มีการฝึกงานเพิ่มขึ้น บางแห่งใช้ชื่อว่าสหกิจศึกษาโดยให้นักศึกษาเข้าไปฝึกงาน 1 เทอมการศึกษา หรืออย่าง ม.รังสิต ก็ปรับจากการฝึกงาน 2 เดือนมาเป็นฝึกงาน 3 เดือน และมีการเพิ่มความรู้ให้กับนักศึกษาด้วยการสร้างกิจกรรมต่างๆ อย่าง สร้างหนังสั้น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ อย่างไรก็ดี ใช่ว่าการเรียนนี้จะส่งผลกระทบต่อการหางานทำ เพราะสายสังคมสามารถแจ้งเกิดและหางานทำได้ ถ้าเป็นสายสังคมทางด้านภาษา

ในขณะที่ถ้าเป็นพวกสายวิทยาศาสตร์ อย่าง วิทยาศาสตร์สุขภาพถือว่าไม่ปัญหาแน่นอนปิดประตูตกงานแน่นอน เพราะยังขาดแคลนอีกมหาศาล หรือแม้แต่ทัศนะแพทย์หรือกายภาพบำบัดปัจจุบันก็มีแนวโน้มโตขึ้นความต้องการก็สูง หรือพยาบาลปัจจุบันประเทศสวีเดน เนเธอร์แลนด์ ขอให้ทางม.รังสิตส่งนักศึกษาไปทำงานกับเขาให้ได้ปีละ 100 คน โดยให้ผลตอบแทนสูงจะเห็นว่าการขาดแคลนด้านนี้ไม่ใช่แต่ในไทยแต่ขาดแคลนทั่วซึ่งกลุ่นี้ถึงจะเรียนไม่เก่งก็ยังหางานทำได้

หรือพวกสาขาด้านวิทยาศาสตร์ไฮเทค อย่าง ไบโอเทค วิศวกรรม หรือคอมพิวเตอร์ไซน์ กลุ่มนี้ยังมีอัตราการเข้าทำงานไม่สูงมาก บางบริษัทต้องเข้ามาจองนักศึกษาก่อนที่จะจบการศึกษาด้วยซ้ำ ส่วนกลุ่มทางด้านศิลปะ อย่าง สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ปริมาณการจะได้งานทำขึ้นอยู่กับแต่ละคน อย่างไรก็ดี แนวโน้มของการทำงานของเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้มองเรื่องของการทำงานบริษัท แต่ชอบทำงานอิสระทำให้ปริมาณการได้งานทำอาจจะไม่สูงแต่กลุ่มนี้ไม่ได้ตกงานมีงานทำแบบแต่เป็นฟรีแลนด์เท่านั้นเอง

วงในชี้ 'สถาปัตย์-วิศวะ'
เงินน้อย งานหนัก วิ่งหาอาชีพอื่น

วิศวกร ยังเป็นอาชีพท็อปฮิตของเด็ก ม.ปลายทุกยุคสมัย เพราะเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ถูกมองว่าทำเงินเช่นกัน เกือบทุกสถาบันมีการเปิดสอนวิศวกรรมศาสตร์อย่างแพร่หลาย เพราะได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี แม้ในความเป็นจริงตอนนี้ภาพรวมของตลาดก่อสร้าง ซึ่งเกี่ยวข้องแวดวงวิศวกรรมจะชะลอตัวไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นสาขาวิชาที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากทุกสถาบันจะมีนักเรียนแย่งกันสอบเข้าเป็นจำนวนมากทุกปี

อารยา เพ็งนิติ เลขาธิการ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมางานของแวดวงวิศวกรรมเงียบไปมาก เห็นได้จากจำนวนงานที่เปิดประมูลก่อสร้างลดลง มาจากงบประมาณในการก่อสร้างของภาครัฐน้อยลง เศรษฐกิจถดถอย การบริโภคลดลง ภาครัฐเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้า ทำให้ไม่มีรายได้มาลงทุนโครงการใหญ่ๆ ทำให้ไม่มีเม็ดเงินหมุนเวียนมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

ในทุกปีจะมีบัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์จบใหม่ปีละประมาณ 5,000 คน แต่เมื่อไปสอบกับสภาวิศวกร เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นภาคีวิศวกร หรือสอบเลื่อนชั้น พบว่า ยังมีคนสอบผ่านไม่ถึงครึ่ง สะท้อนถึงคุณภาพของบัณฑิตว่ายังไม่เพียงพอกับที่ตลาดแรงงานต้องการ

อารยา กล่าวว่า ทุกวันนี้สถาบันการศึกษาผลิตบัณฑิตออกมาไม่สอดคล้องกับที่ตลาดแรงงานต้องการ เช่น โยธา ไฟฟ้ามีมากเกินไป เพราะตลาดก่อสร้างกำลังหดตัว ในขณะที่ตลาดแรงงานด้านวิศวกรยานยนต์ สิ่งแวดล้อม ปิโตรเคมี กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาสุดท้ายที่มีค่าตอบแทนสูงที่สุด ในยุคที่โลกกำลังให้ความสนใจเรื่องพลังงานทดแทน แต่ปัญหา คือ ยังมีสถาบันเปิดสอนไม่มากนัก เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูง

"อาชีพที่ขาดแคลนมากตอนนี้ คือ ช่างเชื่อม ซึ่งมักเป็นเด็กที่เรียนจบอาชีวะ เพราะเป็นงานที่หนัก เด็กจึงไม่ค่อยให้ความสนใจ หันไปเรียนวิศวะ ไปทำงานออกแบบ ที่เหนื่อยน้อยกว่างานออกภาคสนาม" อารยา กล่าว

ในช่วง 5-10 ปีหลังวิศวกรจบใหม่ตัดสินใจหันเหชีวิตไปทำอาชีพอื่นแทนมากขึ้น เพราะมองว่าในแง่ค่าตอบแทนยังได้น้อยกว่าอาชีพอื่นๆ สมัยก่อนอัตราเงินเดือนบัณฑิตจบใหม่เริ่มต้นที่ 12,000-14,000 บาท แต่ปัจจุบันอยู่ที่ไม่เกิน 10,000-12,000 บาท

"ลักษณะงานที่หนัก เงินเดือนที่น้อยกว่าบางอาชีพอื่น ทำให้เด็กจบใหม่เปลี่ยนไปทำธุรกิจส่วนตัว หรือเรียน MBA แทน เพื่อทำงานด้านบริหารมากขึ้น ซึ่งมีรายได้มากกว่าเป็นวิศวกร 1.5-2 เท่า ยิ่งในช่วง 5-10 ปีหลังมีแนวโน้มแบบนี้เกิดขึ้นเยอะมาก เพราะเศรษฐกิจไม่ดี งานวิศวะมีน้อยลง ต้องแข่งขันสูง ก็ตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพไปเลย" อารยาให้เหตุผล

อย่างไรก็ตามอารยาให้คำแนะนำถึงวิศวกรรุ่นใหม่ที่ต้องการจะเติบโตในวิชาชีพนี้ว่า จะต้องเร่งพัฒนาทักษะด้านภาษา เพื่อให้พร้อมเข้าสู่การแข่งขันกับตลาดโลก ซึ่งในอนาคตจะต้องมีการเปิดเขตการค้าเสรี หรือ FTA ขึ้น

ขณะที่อาชีพสถาปนิกเป็นหนึ่งในอาชีพดาวรุ่งเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนปี 2540 ที่อสังหาริมทรัพย์กำลังเฟื่องฟูสุดขีด ทำให้สถาปนิกมีงานออกแบบล้นมือ เกิดเป็นภาวะขาดแคลนบุคลากรของวิชาชีพนี้ แต่ภาพจริงของอาชีพสถาปนิก แม้ในอดีตจะถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ "ทำเงิน" แต่เมื่อบางคนได้เข้ามาสัมผัสจริง กลับกลายเป็นอาชีพที่บัณฑิตใหม่สถาปัตยกรรมศาสตร์กว่า 20-30% ไม่เลือกทำเพราะพบกับอาชีพอื่นที่เหนื่อยน้อยกว่า และให้ผลตอบแทนดีกว่า

ประกอบกับ สถาบันต่างๆ ผลิตบัณฑิตสถาปัตยกรรมออกมามากกว่าที่ตลาดแรงงานต้องการ ซึ่งเกิดมาจากกระแสวิชาชีพขาดแคลนในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ ทำให้หลายสถาบันอิงกระแส หันมาเปิดสอนมากขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเศรษฐกิจเข้าสู่วงจรขาลง การลงทุนก่อสร้างไม่คึกคักเหมือนเมื่อก่อน ทำให้สถาปนิกหลายคนที่เรียนจบออกมาต้องตกงาน

สิน พงษ์หาญยุทธ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ทุกปีจะมีบัณฑิตจบใหม่กว่า 1,000 คน จาก 18-19 สถาบันที่ได้รับการรับรองจากสภาสถาปนิก มีเพียงไม่ถึงครึ่งที่ทำงานในสำนักงานแบบเต็มเวลา ส่วนหนึ่งตัดสินใจเป็นฟรีแลนซ์ หรือศึกษาต่อปริญญาโททันที อีกส่วนหนึ่งหันเหไปทำอาชีพอื่นแทน

"ปัจจุบันสถาปนิกรุ่นใหม่ๆ หันมารวมกลุ่มเล็กๆ ทำงานแบบฟรีแลนซ์กันมากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่รักความเป็นอิสระ ไม่อยากผูกพันกับองค์กร อยากรับผิดชอบแค่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว ซึ่งการรับงานอิสระคนจะมองว่าน่าจะเลือกรับงานที่ตัวเองพอใจได้ และได้รายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าการเป็นสถาปนิกประจำสำนักงานที่มีรายได้จากเงินเดือนอย่างเดียว" สินกล่าว

สำหรับอัตราเงินเดือนของสถาปนิกจบใหม่ (ปริญญาตรี) เริ่มต้นที่ 12,500-15,000 บาท หรืออาจะขึ้นไปถึง 18,000 บาท ซึ่งสินบอกว่า เด็กสมัยนี้มองว่าน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะยาวอาจดูไม่มากเท่ากับการเลือกไปทำอาชีพอื่นๆ

เนื่องจากวิชาสถาปัตยกรรมสอนให้คนที่เรียนมีความสามารถหลายด้าน ทำงานได้หลายอย่าง ระยะหลังเด็กที่จบจึงหันเหไปทำอาชีพอื่นที่เกี่ยวกับการออกแบบแทนการเป็นสถาปนิก เช่น ทำแอนิเมชั่น ออกแบบพรีเซนเทชั่น ครีเอทีฟ เป็นต้น ซึ่งงานเหล่านี้เป็นงานที่กินระยะเวลาไม่มากเท่างานสถาปนิก และยังมีรายได้ดีกว่า

แม้จะมีบัณฑิตจบใหม่มากถึง 1,000 คนต่อปี แต่เมื่อถามถึงจำนวนเด็ก ม.6 ที่เข้ามาเรียนสถาปัตยกรรม ศาสตร์ สินบอกว่า ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะเมื่อเข้ามาสัมผัสจริงจะรู้ว่าอาชีพนี้ไม่ได้ให้ผลตอบแทนสูงอย่างที่คาด พบว่าเด็กรุ่นใหม่ที่สนใจการออกแบบจะหันไปเรียนตกแต่งภายใน หรือออกแบบผลิตภัณฑ์มากขึ้นแทน

"ทุกวันนี้บัณฑิตจบใหม่มีเยอะ แต่งานที่มีรองรับไม่พอ และคุณภาพของบัณฑิตที่จบใหม่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ทำงานคนตกงานมากขึ้น ยิ่งทุกวันนี้งานใหม่ๆ เข้ามาน้อยลง ช้าลง บางงานต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์ ทำให้คนใหม่มีโอกาสน้อย รวมทั้ง 3-4 ปีหลัง สำนักงานสถาปนิกเริ่มจะรับคนจบใหม่น้อยลง แต่พยายามเร่งที่จะเทรนคนเก่าให้มีความสามารถมาก

นายกสมาคมสถาปนิกสยามฯ ทิ้งท้ายว่า หากคาดการณ์สถานการณ์ในปีหน้า คิดว่างานสถาปนิกคงมีไม่มากนัก จะอยู่ในลักษณะนิ่งๆ แต่ไม่ถึงกับหดหายไป เพราะการลงทุนยังคงมีให้เห็นอยู่บ้าง คนที่สามารถอยู่รอดได้ คือ คนพัฒนาทักษะตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็นที่ต้องการมากของตลาดแรงงาน

ดร.สุวิทย์ เคยกล่าวไว้ว่า ยุคนี้ความเหลื่อมล้ำไม่ใช่เกิดแค่คนจนกับคนรวย แต่เป็นความเลื่อมล้ำของคนที่รู้กับไม่รู้ แล้วคนรู้เอาเปรียบคนไม่รู้ได้ ต่อไปช่องว่างตรงนี้จะมากขึ้นมหาศาลระหว่างคนจนคนรวย คนรู้ไม่รู้ คนที่ได้โอกาสกับคนที่ด้อยโอกาส

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโลกกำลังเดินเข้าสู่ "สังคมหลังฐานความรู้" ซึ่งเป็นยุคที่คนจะเชื่อมโยงกันอย่างกว้างขวาง พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นยุคที่การแข่งขันมันต้องมีการ ร่วมไม้ร่วมมือ ร่วมแข่งร่วมค้า มีความร่วมมือทางสังคม และเป็นยุคที่เรียกร้องทุนนิยมที่ยั่งยืนมากที่สุด

ทั้งนี้ การศึกษาเป็นพื้นฐานของหาและการสร้างความรู้ ไม่ว่าจะสาขาอาชีพใดสิ่งสำคัญจึงอยู่ที่คุณภาพของคนในประเทศไทย ที่จะช่วยกันนำพาประเทศให้ก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง

************

โอกาสใหม่อาชีพอินเทรนด์

ขณะที่กระแสโลกเข้าสู่ยุคดิจิตอล ได้มีอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้น สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ได้ตั้งคณะใหม่ รวมถึงหลักสูตรต่างๆ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานมุ่งสร้างความรู้ที่หลากหลายให้เกิดขึ้นจะเห็นได้ชัดในคณะนิเทศศาสตร์และแอนิเมชั่น ขณะเดียวกันผู้เรียนมุ่งหาความรู้ ความนิยมในต่างประเทศยังสูงลิ่ว

บันเทิง-แอนิเมชั่น นำโด่ง
ผุดหลักสูตรตอบโจทย์ตลาด

ปีเตอร์ กัน ประธานที่ปรึกษาหลักสูตร นิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการบริหารธุรกิจบันเทิงและการผลิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ ในฐานะที่เป็นผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิงที่ผันตนเองโดยการนำประสบการณ์จริงมาถ่ายทอดผ่านชั้นเรียน กล่าวว่า ปัจจุบันองค์ความรู้ผ่านช่องทางการศึกษา โดยเฉพาะนิเทศศาสตร์ได้มีการปรับตัวสนองตอบความต้องการของตลาดมากขึ้น พบว่าความนิยมในอาชีพบันเทิงสูงมากเติบโตตามอุตสาหกรรมภาพยนตร์และกระแสความนิยมจากสหรัฐอเมริกา

จะเห็นว่าเป้าหมายของการเปิดหลักสูตรดังกล่าวของ ม.กรุงเทพ ต้องการจะสร้างศักยภาพและดึงจุดเด่นของผู้เรียนให้มีมากขึ้น สอดรับกับการก้าวสู่โลกดิจิตอลเจาะกลุ่มตลาดแรงงานที่หลากหลายมากขึ้น นับเป็นโอกาสและความท้าทายที่วงการบันเทิงต้องสร้างบุคลากรใหม่เพื่อมาตอบสนองกลุ่มเป้าหมายให้ได้

หลังจากเปิดหลักสูตรดังกล่าวมา 1 ปี พบว่า อายุเฉลี่ยของนักศึกษาที่เข้ามาเรียนมีความหลากหลายตั้งแต่อายุ 20- 80 ปี ซึ่งแต่ละคนต่างมีประสบการณ์จากการทำงานในสาขาอาชีพอื่นๆ ที่ไม่ใช่การแสดง แต่ทุกคนมุ่งหวังจะนำความรู้ที่ได้มาปรับใช้ในธุรกิจของตนเพื่อบริหารจัดการศักยภาพของตนเอง เนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจมีสูงหากองค์กรใดมีการจัดการอย่างชัดเจนย่อมทำให้เกิดรายได้มหาศาลกลับมา

"วันนี้โลกของการบริหารศักยภาพที่หลากหลาย สามารถนำมาปรับใช้ได้หลากหลายมาก ดังนั้นการเปิดหลักสูตรไม่ควรมองการเรียนรู้เพียงในประเทศแต่ต้องมองการสร้างมูลค่าระดับโลกเพื่อให้ธุรกิจของตนมีความยั่งยืน ขณะนี้มีการแข่งขันในการเปิดหลักสูตรนี้มากขึ้นส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมของไทยจะเติบโตในระดับโลก"

ปีเตอร์ ย้ำอีกว่า การพัฒนาทางเทคโนโลยีขณะนี้สามารถนำเงินซื้อมาได้แต่การสร้างศักยภาพการแข่งขันของคนในประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งต้องใช้เวลาและความอดทนเพื่อสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายต่อไปในการทำงานเพื่อให้เกิดศักยภาพที่หลากหลายในตัวบุคคล คือ การทำให้ผู้บริหารเปิดใจรับนวัตกรรมและอุตสาหกรรมควบคู่กัน

นันทวัฒน์ คานสุโข ผู้ช่วยผู้อำนวยการหลักสูตรแอนิเมชั่น คณะเอนเตอร์เทนเมนต์ มีเดีย มหาวิทยาลัยนานาชาติ มหิดล กล่าวถึง กระแสการตื่นตัวของนักศึกษาที่นิยมเรียนด้าน แอนิเมชั่น มากขึ้นเป็นผลจากการที่ตลาดแรงงานมีความต้องการบุคลากรด้านนี้มาก ซึ่งไม่จำกัดอยู่เพียงในประเทศแต่สามารถออกไปทำงานในต่างประเทศได้

รวมถึงผลมาจากการได้ดูหนัง แอนิเมชั่น ที่คนไทยสร้างขึ้นเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้คนรุ่นใหม่อยากก้าวมาสู่อาชีพนี้ และผู้ปกครองเริ่มเปลี่ยนทัศนคติจากเดิมที่มองว่า อาชีพนี้ไม่สามารถเติบโตได้แต่ในช่วงหลังสื่อโทรทัศน์มีการสื่อสารผ่าน แอนิเมชั่น มากขึ้นเป็นผลให้นักศึกษาที่เข้ามาเรียนได้รับการส่งเสริมจากผู้ปกครอง และเครื่องมือในการสร้างสรรค์ แอนิเมชั่น มีความสะดวกขึ้นไม่ต้องใช้เครื่องมือที่สลับซับซ้อนเหมือนในอดีต

ขณะเดียวกันจุดอ่อนด้าน ภาษาอังกฤษยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่บุคลากรของไทยยังขาด ซึ่งเป็นอีกความท้าทายที่คนทำงานในอาชีพนี้ต้องฝึกฝนให้มากขึ้น ซึ่งหลักสูตรการเรียนในมหาวิทยาลัยจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด

สำหรับช่องทางในการสร้างผลงานของอาชีพนี้ค่อนข้างมีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการสร้างมิวสิกวีดีโอเพลง หรือสร้างเรื่องราวที่สามารถนำลิขสิทธิ์ของตัวละคนซึ่งคิดขึ้นมาไปผลิตสื่ออื่นๆ เพื่อให้เกิดมูลค่าอันมหาศาลหากมีการดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวละครที่มีความโดดเด่น

อย่างไรก็ดี แนวโน้มของผู้ประกอบการในอาชีพนี้อนาคตขึ้นอยู่กับสถานะทางเศรษฐกิจเพราะการสร้างสรรค์เรื่อง แอนิเมชั่น สักเรื่องต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี เป็นผลให้ต้องใช้เงินทุนในการทำงานสูง ซึ่งในอนาคตหากเศรษฐกิจซบเซาอาจส่งผลให้อาชีพนี้ได้รับผลกระทบอย่าง แต่แนวทางแก้ไขกับปัจจัย ที่เกิดขึ้นผู้ที่เข้ามาเรียนต้องแสวงหาความรู้ด้านภาษาให้มากขึ้นเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในอนาคตประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบแต่ประเทศอื่นๆ ในโลกอาจยังมีอัตราการจ้างงานที่เพิ่มสูงขึ้น

เกาะกระแสเรียนต่อต่างแดน
ชี้ตัวเลขเด็กไทยนิยมมากขึ้น

จากข้อมูลสมาคมไทยแนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศ (สนต.) หรือ Thai International Education Consultants Association (TIECA) พบว่าปัจจุบันกระแสความนิยมในการเรียนต่อต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น หลายประเทศมีนโยบายเปิดรับนักศึกษาต่างชาติมากขึ้น

โดยคนไทยถือเป็นนักศึกษาอีกหนึ่งกลุ่มที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ละคิดเป็นมูลค่าหลักหมื่นล้านบาทและยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะความเชื่อว่าการจบจากจากมหาวิทยาลัยดีๆ ดังๆ จะเป็นบันไดก้าวไปสู่ต่ำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีและเงินเดือนสูงๆ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากการที่การศึกษาในไทยยังไม่มีความหลากหลายทางวิชาการมากพอ

ประกอบกับ นอกจากภาษาที่ได้รับกลับมาแล้ว ยังได้ซึมซับระบบการศึกษาที่ดี ประสบการณ์ในการได้ฝึกงานจริงกับบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ ทำให้เมื่อกลับมาแล้วจึงมีโอกาสได้ร่วมงานในองค์กรชั้นนำในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งกลุ่มคนที่ไปเรียนแบ่งได้คร่าวๆ เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีความตั้งใจศึกษาต่ออย่างจริงจัง และกลุ่มที่สอบเข้าเรียนต่อที่ไหนไม่ได้ จึงใช้การเรียนต่อต่างประเทศเพื่อเป็นการชุบตัว

แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันจะมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง แต่คาดว่าตัวเลขการเรียนต่อต่างประเทศของเด็กไทยจะโตขึ้น 7%จากปีที่แล้ว โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้รับผลดีจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า

นอกจากนี้ ยังพบว่าในช่วง 2-3 ปีนี้ เด็กไทยนิยมหันมาเรียนในประเทศแถบเอเชียมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการหลั่งไหลของกระแสวัฒนธรรมผ่านเพลง ละคร และภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลี แต่ด้วยค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูงกว่าในประเทศไทยมาก ทำให้ส่วนการไปเรียนต่อโดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นยังอยู่ในระดับกลาง

แต่ถ้ามองในเชิงธุรกิจ ความรู้และทักษะด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาจีนนับว่ามีความสำคัญและกำลังเป็นที่ต้องการมาก เพราะประเทศจีนเริ่มเจริญก้าวหน้าทำให้ธุรกิจของจีนเป็นที่จับตามอง ดังนั้น การใช้ภาษาจีนเพื่อการสื่อสารธุรกิจการค้าจึงมีความสำคัญมากขึ้น และทำให้ประเทศจีนเป็นอีกหนึ่งในประเทศเป้าหมายของนักศึกษา

ในขณะที่อินเดียก็ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศในเอเชียที่ได้รับความนิยมสูงมากในด้านไอที โดยมีนักเรียนไทยมักเดินทางไปเรียนที่เมืองบังคาลอร์ ซึ่งถือว่าซิลิคอนวัลเลย์ของเอเชีย แต่ถ้ามองในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือว่ามาเลเซียกำลังเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของประเทศไทย เพราะมีนโยบายภาครัฐสนับสนุนให้เป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของภูมิภาคเช่นเดียวกับประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมการเป็นเรียนต่อต่างประเทศเป็นเรื่องง่ายขึ้นสำหรับคนไทย โดยหลักสูตรที่นิยมเรียนคือ เอ็มบีเอ และไอที ส่วนเทรนด์ของการเรียนในปี 2551 จะเป็นเรื่องเอ็มบีเอ บริหารทรัพยากรมนุษย์ และโลจิสติกส์

เปิดเทรนด์ MBA
ตอบโจทย์ ตรงจุดธุรกิจ

สำหรับในประเทศไทย ดูเหมือนการเลือกเรียน MBA จะได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สถาบันหลายแห่งเปิดสอนกันอย่างคึกคัก ทั้งนี้เกิดจากทัศนคติที่มองว่า คนที่จบสาขานี้มีโอกาสเติบโตสูง รวมทั้งสามารถตอบสนองต่อตลาดแรงงานได้ดีกว่า เนื่องจาก แม้ว่าผู้ที่จบมาทางด้านเฉพาะทาง เช่น วิศวกรรมศาสตร์หรือแพทย์

หากทำงานไปได้สักระยะหนึ่งจนก้าวเข้าสู่ระดับบริหาร ก็จำเป็นต้องอาศัยความรู้เรื่องการบริหารจัดการซึ่งเดิมทีคนส่วนใหญ่มักจะใช้ประสบการณ์มาใช้ในการบริหาร แต่เป็นวิธีที่ช้าดังนั้นการเรียนต่อจึงเป็นวิธีการที่ย่นเวลาได้มาก

บุริม โอทกานนท์ ประธานสาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เทรนด์การเปิดหลักสูตรด้าน MBA จะมีลักษณะเฉพาะทางมากขึ้น เพราะแต่ละสถาบันต้องหาจุดเด่นของตัวเอง เพื่อสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการศึกษา โดยเน้นเจาะจงเป็นรายเซ็กเตอร์ของธุรกิจ

"สมัยก่อนมองว่าสาขาการตลาดเป็นของทุกคน ซึ่งความเป็นจริงในปัจจุบันเราจะสอนการตลาดแบบบุฟเฟ่ต์ไม่ได้ จะมาคาดหวังว่าเรียนการตลาด 1 ปี 8 เดือน แล้วสามารถทำให้นักศึกษาเป็นนักการตลาดที่สมบูรณ์ได้"

ยกตัวอย่างในกรณีของสาขาการตลาด ภาคธุรกิจต้องการคนที่จบมามีความรู้เฉพาะทางในด้านการตลาดโดยเฉพาะ เช่น การตลาดของธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจโลจิสติกส์ และต้องการระบบการศึกษาซึ่งสร้างคนที่สามารถปฏิบัติงานด้านการตลาดได้จริง (execution) ในอุตสาหกรรมนั้นๆ ได้ ไม่ใช่เรียนแค่คอนเซ็ปต์ทางการตลาดเท่านั้น

หรือแม้แต่สาขาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งองค์กรธุรกิจต้องการนัก HR ที่ไม่ใช่แค่มองว่าจะสรรหาคนอย่างไร บริหารค่าตอบแทนคนอย่างไร กำหนด competency แบบไหน แต่จะต้องมองว่าจะบริหารจัดการคนที่อยู่ในองค์กรได้อย่างไร โดยนัก HR รุ่นใหม่ต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ในเรื่องการจัดการมากพอสมควร และการเรียนในสาขานี้จะขยายตัวตามการเติบโตของบริษัทและอุตสาหกรรม

บุริม กล่าวอีกว่า เทรนด์การศึกษาของ MBA จะมีการสร้างสรรค์หลักสูตรใหม่ๆ ก่อให้เกิด "นวัตกรรมทางหลักสูตร" เช่น หลักสูตรเร่งรัด4 บวก1 (Fast Track) โดยระดับปริญญาตรีเรียนคณะอื่นที่ไม่ใช่บริหาร เช่น วิทยาศาสตร์ พอขึ้นปี 3 และปี4 ก็เริ่มเรียนวิชาของ MBA เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้วก็เรียน MBA อีกหนึ่งปี จบแล้วจะได้ปริญญา 2 ใบ 2 ระดับ

หรือหลักสูตร Double Degree คือ การเรียนสองสาขาวิชาที่แตกต่างกัน โดยเอาวิชาเลือกหรือเลือกเสรีมาแลกกัน เมื่อจบแล้วได้ปริญญา 2 ใบ ในระดับเดียวกัน ปริญญาตรีกับปริญญาตรี หรือปริญญาโทกับปริญญาโท

และหลักสูตร Joint Degree คือ หลักสูตรที่ สองมหาวิทยาลัยมาร่วมกันร่างหลักสูตรขึ้นมาร่วมกัน เช่น ศศินทร์ฯ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Kellog ของอเมริกา เปิดหลักสูตรนานาชาติขึ้นในประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังมีเทรนด์เรื่องการควบรวมหลักสูตรอีกด้วย เช่น วิศวกรรมทางการตลาด วิศวกรรมทางการบริหารจัดการ เป็นต้น แต่นวัตกรรมทางหลักสูตรยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนักในประเทศไทย เนื่องจากติดข้อกฎหมายที่ยังไม่สนับสนุนเพียงพอ

ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเรียน MBA ส่วนใหญ่ผู้เรียนเรียนเพื่อต้องการยกระดับตัวเอง ทั้งระดับความสามารถและตำแหน่งหน้าที่การงาน เพราะจะทำให้สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้มากขึ้น มีการตัดสินใจที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ชื่อเสียงของสถาบันการศึกษายังคงเป็นปัจจัยอันดับแรกๆ ที่มีผลต่อการเลือกเข้าศึกษาต่อ ซึ่งแสดงถึงความมั่นใจว่าจบแล้วไม่ตกงาน ส่วนเรื่องค่าเรียนไม่ค่อยมีผลต่อการตัดสินใจเรียนเพราะถือว่าการเรียนคือ การลงทุนที่ดีอย่างหนึ่ง เพื่อจะได้เจอสิ่งแวดล้อมใหม่และคอนเนกชั่นที่มากขึ้น

ที่มา : www.manager.co.th