วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

ดื่มน้ำกันเถิดให้เกิดผล

น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกายมนุษย์ ที่ช่วยให้การทำงานของอวัยวะและเซลล์ต่างๆ เป็นปกติ และเพื่อให้การดื่มน้ำส่งผลดีต่อร่างกายคุณมากยิ่งขึ้น เรามีคำแนะนำของการดื่มน้ำมาฝาก เริ่มจาก...


ดื่มน้ำสะอาดตอนเช้า หลังจากที่นอนหลับพักผ่อนติดต่อกันเป็นเวลามากกว่า 6 ชั่วโมง ซึ่งมีสัญญาณเตือนของการขาดน้ำด้วยอาการคอแห้ง ปากแห้ง หรือน้ำลายเหนียว เป็นต้น เมื่อร่างกายได้น้ำเพียงพอ 1-2 แก้ว คุณจะรู้สึกสดชื่นพร้อมทำกิจวัตรประจำวันต่อไป

ดื่มน้ำก่อน-หลังอาหารลดอ้วน สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ชอบรับประทานอาหารจุบจิบก่อนและหลังอาหาร ขอแนะนำให้ดื่มน้ำก่อนและหลังอาหาร 1-2 แก้ว เพื่อเป็นการเช็คว่าคุณหิวจริงๆ หรือร่างกายต้องการน้ำกันแน่ เพื่อระงับความอยากอาหารที่เกินความต้องการของร่างกาย ทั้งนี้ระหว่างอาหารไม่ควรดื่มน้ำมากไป เพราะจะทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้องได้

ดื่มน้ำเพิ่มพลังเมตาบอลิสม น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในทำงานของเซลล์แต่ละเซลล์ ในการดูดซึมและเปลี่ยนถ่ายก่อให้เกิดเป็นพลังงานความร้อน ช่วยในเผาผลาญและนำสารอาหารที่ร่างกายไปใช้ประโยชน์ต่อไป โดยในหนึ่งวันเราควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....

เคยเจออาการแบบนี้บ้างไหมจ๊ะ เช่น คุยโทรศัพท์นานๆ แล้วรู้สึกหูของตัวเองร้อน หรือมีเลือดผสมหนองไหลออกมาจากหู ถ้าน้องๆ มีอาการแบบนี้ล่ะก็ รีบเข้ามาทางนี้โดยด่วนเลย


ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....

มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคัน ซึ่งเมื่อน้องๆ แคะ หรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้

วิธีป้องกัน

ถ้าน้องๆ รู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ พี่ปัดขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้



นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค


ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....




หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น น้องๆ รู้กันรึเปล่าจ๊ะว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหู และการอักแสบในช่องหูได้


วิธีป้องกัน

น้องๆ ควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่นะจ๊ะ

เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู

หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ


ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....



อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึงต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้

วิธีป้องกัน

น้องๆ จะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด

หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยล่ะก็ น้องๆ จะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุแล้วก็ได้นะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

ข้อสอบ TOEIC แบบใหม่ !


แบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถภาษาอังกฤษที่เป็นที่นิยมคงต้องยกนิ้วให้ TOEIC ซึ่งหากน้องๆ คนไหนมีคะแนนสอบ TOEIC ที่ดีแล้ว ก็เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งสำหรับการเตรียมตัวไปเรียนต่อเมืองนอก ล่าสุดนั้น การสอบ TOEIC ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเล็กน้อย โดยเริ่มเปลี่ยนมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา เรียกรูปแบบใหม่นี้ว่า Redesigned Toeic




แบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถภาษาอังกฤษที่เป็นที่นิยมคงต้องยกนิ้วให้ TOEIC ซึ่งหากน้องๆ คนไหนมีคะแนนสอบ TOEIC ที่ดีแล้ว ก็เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งสำหรับการเตรียมตัวไปเรียนต่อเมืองนอก ล่าสุดนั้น การสอบ TOEIC ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเล็กน้อย โดยเริ่มเปลี่ยนมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา เรียกรูปแบบใหม่นี้ว่า Redesigned Toeic ว่าแต่จะเปลี่ยนแปลงไปยังไงนั้น พี่เป้ รวบรวมมาไว้ให้แล้วค่ะ




ข้อสอบ TOEIC แบบใหม่ !



PART 1 : LISTENING มีทั้งหมด 100 ข้อ คะแนนรวม 495 คะแนน เวลา 45 นาที

1.1 Photographs (รูปภาพ) โดยฟังประโยคจากเทปที่เปิด แล้วพิจารณาว่ารูปภาพในข้อใดตรงกับที่เทป
อ่านมากที่สุด

- แบบเก่า มีทั้งหมด 20 ข้อ
- แบบใหม่ ลดเหลือเพียง 10 ข้อ



1.2 Question-Response (ถามตอบ) ฟังคำถามจากเทปที่เปิด เช่น How are you ? และฟังชอยส์
4 คำตอบจากเทปเช่นกันแล้วเลือกว่าคำตอบใดถูกต้องที่สุด โดยคำถามทั้งหมดมี 30 ข้อ

- ไม่มีการเปลี่ยนแปลง



1.3 Conversations (บทสนทนา) จะเป็นบทสนทนาระหว่างบุคคล 2 คน ซึ่งโจทย์จะถามเกี่ยวกับเนื้อหา
ของบทสนทนา มีทั้งหมด 30 ข้อ

- แบบเก่า 1 บทสนทนา ต่อ คำถาม 1 ข้อ (มีทั้งหมด 30 บทความ)
- แบบใหม่ 1 บทสนทนา ต่อ คำถาม 3 ข้อ (มีทั้งหมด 10 บทความ)



1.4 Talks (บทพูดคุย) การฟังประกาศ ข่าว หรือบทความ และตอบคำถาม

- แบบเก่า มีคำถามทั้งหมด 20 ข้อ
- แบบใหม่ มีคำถามทั้งหมด 30 ข้อ โดยมีบทความ 10 บทความ (1 บทความ มีคำถาม 3 ข้อ)




ข้อสอบ TOEIC แบบใหม่ !



PART 2 : READING มีทั้งหมด 100 ข้อ คะแนนรวม 495 คะแนน เวลา 1 ชม. 15 นาที

2.1 Incomplete Sentence (เติมประโยคให้เต็ม) เช่น Please tell me your ____ time .
(arrive , arrival , reach , reaching)

- ไม่มีการเปลี่ยนแปลง



2.2
- แบบเก่า Error Recognition (จับผิดไวยากรณ์) มีทั้งหมด 20 ข้อ
- แบบใหม่ Text Completion (เติมข้อความให้สมบูรณ์) โดยอ่านบทความคล้ายๆ E-mail และเติมข้อ
ความที่หายไปให้สมบูรณ์ มีทั้งหมด 4 บทความ แต่ละบทความมี 3 คำถาม รวมคำถามทั้งหมด 12 ข้อ



2.3 Reading Comprehension (ทำความเข้าใจเรื่องที่อ่าน) เป็นการอ่านเนื้อเรื่องแล้วตอบคำถาม

- แบบเก่า มี 40 ข้อ
- แบบใหม่ มี 48 ข้อ แบ่งออกเป็น
Single Passages มี 7-10 บทความ แต่ละบทความจะมี 2-5 คำถาม รวมคำถาม 28 ข้อ
Double Passages มีบทความอ่าน 4 คู่ ( เช่น E-mail โต้ตอบกับลูกค้า) แต่ละคู่มี 5 คำถาม
รวมคำถาม 20 ข้อ