วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

9 วิธีฝึกสมองให้คิดสร้างสรรค์

ดื่มน้ำให้บ่อยๆ โดยอาจจะใช้วิธีการจิบครั้งละนิดๆ ก็ได้จ้ะ เพราะในสมองของเรานั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 85 % ของเซลล์สมอง ดังนั้นถ้าร่างกายของเราขาดน้ำ ก็จะส่งผลให้สมองของเราคิดสิ่งต่างๆ ช้าหรือคิดไม่ออกเลย

กินไขมันดีหรือโอเมก้า 3 สมองน้อยๆ ของเรานั้นก็คือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับไขมันดีเข้าไปเพื่อเป็นการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อาหารที่มีไขมันดีอยู่นั้น ก็เช่น ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง น้ำมันปลา เป็นต้น

นั่งสมาธิ อย่างที่น้องๆ ทราบกันอยู่แล้วว่าการนั่งสมาธิจะทำให้เราเกิดสติในการคิดสิ่งต่างๆ และรู้สึกผ่อนคลายได้ ดังนั้นในแต่ละวันเราควรที่จะหาเวลานั่งสมาธิบ้าง แม้จะเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้นเราสามารถนั่งสมาธิได้



ตั้งใจทำจริงๆ เพราะถ้าตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วก็ควรที่จะตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้ เพราะการตั้งใจทำถือว่าเป็นฝึกสมองอีกรูุปแบบหนึ่ง

หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ เพราะเวลาที่เราทำ 2 สิ่งนี้ สารเอ็นโดรฟินก็จะถูกหลั่งออกมา สารนี้จะทำให้เรารู้สึกมีความสุข คิดและทำสิ่งดีๆ ออกมา

เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าวในร้านอาหารที่ไม่เคยกิน อ่านหนังสือเล่มใหม่ ฯลฯ เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะทำให้สารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน หลั่งออกมา สารทั้ง 2 ตัวนี้จะไปกระตุ้นให้สมองอยากเรียนรู้ และสร้างสรรค์ในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้ยังจะทำให้มีความสุขอีกด้วย



ให้อภัย เพราะถ้าเรารู้สึกโมโห โกรธ สองของเราก็จะเครียดตามไปด้วย ดังนั้นเราควรที่จะรู้จักให้อภัยคนอื่น และให้อภัยตัวเองเพื่อสมองน้อยๆ ของเรา

เขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีๆ หรือเรื่องที่เราเจอมาในแต่ละวันลงไปในไดอารี่ เช่น วันนี้ได้เจอเพื่อนใหม่ , ขอบคุณพ่อแม่ที่อยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เป็นต้น เพราะการเขียนสิ่งดีๆ จะช่วยทำให้เราคิดดีตามไปด้วย และยังเป้นการช่วยฝึกฝนสมองให้คิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาอีกด้วย

ฝึกหายใจเข้าลึกๆ เพราะสมองน้อยๆ ของเรานั้นมีออกซิเจนอยู่ด้วย ดังนั้นถ้าเราหายใจเข้าลึกๆ ก็จะเป็นช่วยการส่งพลังงานไปยังสมอง และหากเรานั่งทำงานเป็นเวลานานๆ ก็ควรที่จะลุกขึ้นมาเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง เพราะสามารถทำให้ให้ปอดขยายใหญ่และรับออกซิเจนได้มากขึ้น 20%

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคเรียนเก่ง7ข้อ

เทคนิคเรียนเก่ง7ข้อ

ข้อที่ 1 : พกปากกาสี 12 สี ติดตัว

ทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่า สีน้ำเงินที่เขียนตามปกติ

จึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา ของ stabio ก็ดีนะ ทนหลายปีเลยแหล่ะ

* สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก้อสามารถจดจำได้แล้วล่ะ


ข้อที 2 : ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้น

การใช้สมุดnote ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุดnote ที่ไม่มีเส้นนั้นจะ

ทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถว ร้านขายสมุดวาดรูปดูน่ะ

ข้อที่ 3 : บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic.

ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำ

การ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่า

การบันทึกงานในรูปแบบของ mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้

ข้อที่ 4 : Mp3

เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทักเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่าง

หากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ

ข้อที่ 5 : เอาใจครู

เอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตร์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเอง

เวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงาน ครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้น

เพราะ เราอยากเรียนวิชานั้น ๆ

ข้อที่ 6 : พูดคุยกับปากกา

ก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง

คุณหนูดี กับ ด็อกเตอร์ อะไรเนี่ยแหล่ะจำชื่อไม่ได้ ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา

ข้อที่ 7 : นั่งหน้าห้อง

นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเรา

และสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว


เครดิต ; หนังสือของคุณหนูดี เราย่อออกมาเหลือแค่นี้แหล่ะ

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

“คิดบวก-ทำต่าง-กินถูก” สูตรง่ายๆ ช่วยพัฒนาสมอง


“คิดบวก-ทำต่าง-กินถูก” สูตรง่ายๆ ช่วยพัฒนาสมอง
ชีวิตที่เร่ง รีบในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนที่ต้องตื่นแต่ไก่โห่ ตะเกียกตะกายฝ่ารถไปให้ถึงทันโรงเรียนเข้า หรือจะเป็นชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่ต้องทำงานตาม Office Hour แต่เช้าจดเย็น ไม่มีเวลาหายใจหายคอ หนักๆ เข้าบางครั้งหลายคนอาจรู้สึกว่าสมองล้า เหนื่อย เครียด พาลจะทำให้จำอะไรไม่แม่น ลืมนั่นลืมนี่ จนวิตกกังวลว่าตัวเองเริ่มจะป่วยด้วยโรค “อัลไซเมอร์” ถึงขั้นต้องไปพบแพทย์เสียเงินเสียทอง แต่จริงๆ แล้ว ทริกการเสริมศักยภาพความจำและสมองง่ายๆ ทำได้กันทุกคน!

นพ.มัยธัช สามเสน ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ให้คำแนะนำวิธีการพัฒนาศักยภาพความจำและสมองแบบง่ายๆ ด้วยคำเพียง 4 คำ คือ “คิดบวก” และ “ทำต่าง”

“คิดบวก” ของคุณหมอมัยธัช เจ้าตัวอธิบายด้วยเสียงหัวเราะอย่างเป็นกันเองว่า ที่ก่อนหน้านี้มีโฆษณาเครื่องสำอางตัวหนึ่งที่มีสปอตสั้นๆ แต่ฮิตติดปากสาวๆ ไปทั้งบ้านทั้งเมืองว่า “คิดบวก ทำให้ผู้หญิงสวยขึ้น” นั้น ไม่ห่างไกลจากความเป็นจริงเลย และที่สำคัญก็คือ นอกจากการ “คิดบวก” จะทำให้คุณสาวๆ สวยขึ้นแล้ว ยังทำให้ระบบสมองและความจำดีขึ้นอีกต่างหาก

“สมอง เป็นอวัยวะที่เราต้องใช้ตลอดเวลา ในส่วนของความจำนั้น เมื่อก่อนอาจจะมีที่บอกแบ่งชัดว่าสมองส่วนไหนจำอะไร แต่จริงๆ แล้วในงานวิจัยระยะหลังๆ เราพบว่า สมองส่วนการจำนั้นไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าอยู่ซีกไหน ตรงไหนแน่ชัด แต่การทำงานด้านความจำของสมองที่เราพบ ก็คือมันทำงานรวมๆ กันไป กับส่วนอื่นๆ อย่างอารมณ์นี่ก็เป็นเรื่องความจำนะ เราเรียนรู้ที่จะแสดงอารมณ์ในสถานการณ์ใด เพราะเราเรียนรู้จากความจำจากประสบการณ์ที่เราเคยพบ อย่างคนที่หงุดหงิดง่ายก็จะจำได้ว่า ในสถานการณ์ที่มีตัวกระตุ้นแบบนี้เขาจะหงุดหงิด ตรงข้ามกับผู้ที่คุมอารมณ์ได้ดี เขาก็จะเรียนรู้การควบคุมอารมณ์จากความจำว่าในสถานการณ์ที่เขาโดนกระตุ้นจาก สิ่งเร้าเช่นนี้ เขาควรจะคุมอารมณ์แบบไหน”

“แต่ ที่แน่ๆ ก็คือ การคิดบวกหรือการมองอะไรในแง่ดี จะทำให้สมองและศักยภาพความจำมันพัฒนา เพราะความสุขจากการคิดบวก มองโลกแง่ดี มองผู้อื่นในแง่ดี มองโลกสดใสมันเป็นความสุข เป็นรางวัลภายในที่จะทำให้สมองปีติอิ่มสุข และทำงานได้ดี”

ส่วน “ทำต่าง” ตามตำราของ นพ.มัยธัช นั้น ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า นอกจากจะคิดบวกให้จิตใจเป็นสุขเป็นรางวัลแก่สมองแล้ว การกระตุ้นให้สมองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ก็เป็นทริกในการพัฒนาระบบความจำแบบหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการลองเปลี่ยนมือที่เขียนหนังสือจากมือขวามาเป็นมือซ้าย การเปลี่ยนมือจับช้อนจากมือขวามาเป็นมือซ้าย หรือจะเป็นการทำในทักษะที่ไม่เคยทำ เช่น ไม่เคยวาดรูปก็หัดวาดรูป ไม่เคยร้องเพลงก็หัดร้องเพลง ไม่เคยเต้นรำก็หัดเต้นรำ หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดเช่น เล่นหมากกระดานจำพวกหมากรุก หมากฮอส หรือปริศนาอักษรไขว้ ครอสเวิร์ด

“กระทั่ง ไพ่ก็ช่วยให้เราพัฒนาความจำได้ครับ แต่ต้องมีข้อแม้ว่าห้ามมีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องนะครับ อีกอย่างคือ การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ไม่ใช่ของที่ไม่ดีเสมอไป การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ของเด็กหรือแม้กระทั่งในผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเล่นแล้วไป หัดเล่น ในช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดีไม่มากไป และเนื้อหาเกมไม่รุนแรงก้าวร้าว ก็ถือเป็นการกระตุ้นสมองให้มีการใช้สมองมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและศักยภาพของระบบความจำด้วยครับ”

ถึง ตรงนี้ คนเมืองกรุงจำนวนไม่น้อยจำเป็นต้องใช้เวลาในการฝ่าการจราจรไป-กลับระหว่าง ที่พักและที่ทำงาน วันหนึ่งๆ ก็หลายชั่วโมง อาจจะเริ่มรู้สึกว่ากลเม็ดเคล็ดไม่ลับการพัฒนาสมองและศักยภาพความจำของคุณ หมอดูจะไม่ยากจนเกินไปนัก อาจจะสงสัยว่าเวลาที่สูญเสียไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ในการเดินทางนั้น สามารถทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับสมองได้บ้างหรือไม่

“ถ้า ไม่เวียนหัวผมแนะนำให้อ่านหนังสือนะถ้าอ่านได้ แต่ถ้าตาลายก็ลองฟังเพลงหรืออัดบทบรรยายเรื่องที่เราสนใจ มาเสียบหูฟังระหว่างเดินทางก็ได้ครับ ทำให้สมองเราได้ทำงานเหมือนกัน”นพ.มัยธัช แนะนำ

ในขณะที่ สง่า ดามาพงศ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 อุปนายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย อธิบายถึงการเสริมศักยภาพของสมองและความจำ ในมิติของการรับประทานอาหารว่า ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าคนจะฉลาดหรือมีระบบเรียนรู้ที่ดี ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งพัฒนาได้ในวัยเรียน หากแต่เริ่มพัฒนาตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกเลยด้วยซ้ำไป!

“ตอน ลูกเกิดอยู่ในท้องแม่ อายุครรภ์ได้ 6 เดือนก็เริ่มที่จะพัฒนาสมองและการเรียนรู้ได้แล้ว ช่วงทองของการพัฒนาระบบประสาทและสมองจะอยู่ในช่วงอายุครรภ์ 6 เดือน จนกระทั่งเกิดเป็นทารก และมีอายุครบ 3 ขวบ ช่วงนี้เซลล์สมองเซลล์ประสาทจะเติบโตได้ดีที่สุด ซึ่งการพัฒนาระบบสมอง ความจำ การรับรู้ และการเรียนรู้นั้น นอกจากการกระตุ้นด้วยสัมผัสรักการโอบกอดจากพ่อแม่ การเล่านิทานหรือร้องเพลงให้ฟัง และการใช้ของเล่นกระตุ้นสมองต่างๆ แล้ว การกินก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน”

โภชนากร ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า ในช่วงวัยทองดังกล่าว เซลล์สมองและเส้นใยประสาทจะเติบโตมากที่สุด หากได้รับอาหารที่ดี จะช่วยในการสนับสนุนให้ใยประสาทเหล่านี้สานกันแน่นขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบประสาทและความจำ

“คนเรา จะพัฒนาเซลล์สมองและใยประสาทได้ไปจนอายุประมาณ 18-20 ปี หลังจากนี้จะพัฒนาได้น้อยลง น้อยมาก หรืออาจจะพัฒนาไม่ได้เลย คนเป็นพ่อเป็นแม่สามารถพัฒนาสมองลูกได้ตั้งแต่ลูกยังไม่ลืมตาดูโลก โดยตั้งแต่ในครรภ์ แม่ที่ตั้งครรภ์หากปรับการรับประทานอาหารให้ดี ลูกก็สามารถเริ่มพัฒนาได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์เลยทีเดียว”

สง่า กล่าวถึงอาหารประเภทหลักที่จำเป็นต้องรับประทานให้ได้ทุกวัน ก็คือ อาหารหลัก 5 หมู่ อันเป็นพื้นฐานของสุขลักษณะในการรับประทานอาหารนั่นเอง

“ต้อง กินให้ครบ 5 หมู่ก่อน และต้องกินอย่างเพียงพอที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเพื่อนำไปใช้ เริ่มจากโปรตีน ก็ต้องเป็นโปรตีนดีมีคุณภาพ ต่อมาก็คือ คาร์โบไฮเดรต ที่ร่างกายจะนำไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน สาม คือ วิตามิน สี่ คือ แร่ธาตุ และห้า คือ ไขมัน 5 หมู่หลักต้องกินให้ครบทุกวัน ส่วนที่เสริมเข้ามาหลักๆ ก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า3 ที่จะช่วยในการพัฒนาของสมอง ความจำ ซึ่งจะพบมากในปลาทะเล ในปลาน้ำจืดก็มี แต่ไม่เท่ากับปลาทะเล ควรรับประทานปลาที่มีโอเมก้า3 สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ซึ่งนอกจากโอเมก้า 3 แล้วปลายังให้โปรตีนอีกด้วย แต่ก็มีโปรตีนดีอื่นๆ อีก เราไม่ควรจะกินโปรตีนซ้ำๆ ซากๆ คือ โปรตีนจากปลาเป็นโปรตีนดี ย่อยง่าย แต่เราก็ควรกินสลับกับโปรตีนอื่นๆ บ้าง เช่นจากไก่ หมู หรือโปรตีนจากพืชจำพวกถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ ก็จะช่วยพัฒนาสมองให้ดีขึ้น”

นอกจาก นี้ อุปนายกสมาคมโภชนาการยังพูดถึงสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาความจำและเซลล์ สมองต่อไปอีกว่า ยังมีแร่ธาตุสำคัญ คือ ไอโอดีน และธาตุเหล็กที่จะช่วยให้การทำงานของระบบความจำและสมองเป็นปกติ โดยไอโอดีนจะพบในอาหารทะเลและเกลือเสริมไอโอดีน โดยแนะให้สตรีมีครรภ์ปรับการรับประทานอาหารจากใช้เกลือธรรมดา เป็นเกลือเสริมไอโอดีนเพื่อให้ทารกในครรภ์ได้รับไอโอดีนแต่เนิ่นๆ รวมทั้งควรรับประทานอาหารทะเลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

“ส่วน ธาตุเหล็กนั้นสำคัญไม่แพ้กัน หากเด็กได้รับไม่พอจะทำให้เซื่องซึม มีการพัฒนาของสมองและความจำช้าลง เหล็กจะมีมากในตับสัตว์ เลือด และผักใบเขียว นอกจากนี้ ที่สำคัญ อีกตัวหนึ่ง คือ วิตามิน บี12 ซึ่งจะมีมากในเนื้อสัตว์ นม และไข่ แต่จะพบในผักน้อยมาก วิตามินตัวนี้เราจะพบว่า คนที่รับประทานเจหรือทานมังสวิรัติจะขาดมาก บี12นี้เป็นวิตามินที่สำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทรวมถึงการสร้างเม็ด เลือดแดง”

สง่า ทิ้งท้ายด้วยว่า สิ่ง ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่คนยุคใหม่หลงลืมไปคือการใส่ใจกับอาหารที่เป็น อาหารจริงๆ และเชื่อว่าอาหารที่ดีมีประโยชน์ทุกๆ มื้อที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพความจำและสมองที่ดี มากกว่าอาหารเสริมประเภทซุปไก่สกัดหรืออาหารเสริมเป็นเม็ดเป็นกระปุกที่นิยม ซื้อหามารับประทานด้วยความเข้าใจผิด

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Fête du Travail


La journée internationale des travailleurs, ou fête des travailleurs, devenue fête du Travail, est une fête internationale annuelle célébrant les travailleurs. Elle est l’occasion d’importantes manifestations du mouvement ouvrier.

Instaurée à l'origine comme journée annuelle de grève pour la réduction du temps de travail, elle est célébrée dans de nombreux pays du monde le 1er mai. En Amérique du Nord, elle est célébrée officiellement le premier lundi de septembre[1],[2]. Au Royaume-Uni et en Irlande, elle est décalée le premier lundi de mai. En Australie, elle est fêtée à différentes dates proches du printemps ou de l’automne.

Elle est souvent (mais pas toujours) instaurée comme jour férié légal. Elle est parfois associée à d’autres festivités ou traditions populaires.



Les origines
En France, dès 1793, une fête du Travail est fixée le 1er pluviôse (en janvier), et fut instituée pendant quelques années par Fabre d’Églantine.

Aux États-Unis, au cours de leur congrès de 1884, les syndicats américains se donnent deux ans pour imposer aux patrons une limitation de la journée de travail à huit heures. Ils choisissent de débuter leur action le 1er mai parce que beaucoup d’entreprises américaines entament ce jour-là leur année comptable, et que les contrats ont leur terme ce jour-là.

C’est ainsi que le 1er mai 1886, la pression syndicale permet à environ 200 000 travailleurs d’obtenir la journée de huit heures. D’autres travailleurs, dont les patrons n’ont pas accepté cette revendication, entament une grève générale. Ils sont environ 340 000 dans tout le pays.

Le 3 mai, une manifestation fait trois morts parmi les grévistes de la société McCormick Harvester, à Chicago. Le lendemain a lieu une marche de protestation et dans la soirée, tandis que la manifestation se disperse à Haymarket Square, il ne reste plus que 200 manifestants face à autant de policiers.

C’est alors qu'une bombe explose devant les forces de l’ordre. Elle fait un mort dans les rangs de la police. Sept autres policiers sont tués dans la bagarre qui s’ensuit. À la suite de cet attentat, cinq syndicalistes anarchistes sont condamnés à mort ; quatre seront pendus le vendredi 11 novembre 1887 (connu depuis comme Black Friday ou vendredi noir) malgré l’inexistence de preuves, le dernier s’étant suicidé dans sa cellule. Trois autres sont condamnés à perpétuité.

Sur une stèle du cimetière de Waldheim, à Chicago, sont inscrites les dernières paroles de l’un des condamnés, August Spies : « Le jour viendra où notre silence sera plus puissant que les voix que vous étranglez aujourd’hui

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

6 ข้อง่ายๆ ใช้ชีวิตให้เป็นสุข

ช่วยเหลือพึ่งพาตัวเองก่อนที่จะให้คนอื่นช่วย
การช่วยเหลือพึ่งพากันเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อเจอกับปัญหา ตัวเราเองควรเป็นคนแรกที่ช่วยเหลือตัวเองก่อนเสมอ เพราะมันจะสร้างความภาคภูมิใจให้แก่เรา แต่ก็ไม่ถึงขนาดเย่อหยิ่ง ไม่ง้อใคร อย่าคิดว่าตัวเราสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่างได้ ไม่จำเป็นต้องสนใจใคร ถ้าคิดแบบนั้นจะทำให้เรากลายเป็นคนไร้เพื่อนและแข็งกร้าว เอาเป็นว่าพึ่งพาตนเองก่อน ที่จะไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นก็พอแล้ว

ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและปัญหา
ชีวิตมันไม่ราบรื่นเสมอไปหรอก ทุกคนย่อมเจอกับปัญหาและอุปสรรค อาจจะหนักบ้าง เบาบ้างแตกต่างหันไป ถ้าเราสามารถผ่านการต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาที่เข้ามาได้ จะทำให้เราเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น เข้าใจชีวิต และอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างเป็นสุข คนที่ท้อแท้และไม่ต่อสู้กับสิ่งใด ก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว

อ่อนน้อมถ่อมตน และเคารพผู้ใหญ่
ไม่มีใครในโลกที่ชอบคนเย่อหยิ่งจองหองหรอก การอ่อนน้อมถ่อมตน และเคารพผู้ใหญ่ เป็นวัฒนธรรมที่ดีของไทย สืบทอดปฏิบัติกันมาหลายชั่วคนแล้ว การอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยน มีน้ำใจ และเป็นมิตรกับคนรอบข้าง จะทำให้เรามีแต่คนรักใคร่ ทำให้มีเพื่อนที่ดี และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น


มองโลกในแง่ดี
การมองโลกในแง่ดี จะทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ ในชีวิตมากขึ้น และสามารถสร้างทัศนคติที่ดีให้กับชีวิต แล้วยังเป็นคนที่ไม่เครียดง่ายอีกด้วย ความเครียดจะทำให้เรามองโลกในแง่ร้าย ซึ่งก็ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข การรู้จักปล่อยวางต่างหากที่จะทำให้ชีวิตสงบสุข หัดมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ แล้วมันจะทำให้ชีวิตคุณเป็นสุขมากกว่าเดิม

ให้โอกาสและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
คนเรามีความคิดที่แตกต่างกัน ไม่มีใครในโลกที่จะคิดเหมือนกันหมด ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด การหัดยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นบ้าง จะทำให้เราได้มุมมองที่หลากหลายและแตกต่างขึ้น การให้โอกาสคนอื่นเป็นเรื่องที่ดี เพราะคงไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาดมาเลยในชีวิต เมื่อเราให้โอกาสต่อผู้อื่นอย่างไร เราก็จะได้รับโอกาสนั้นจากผู้อื่นด้วยเช่นกัน

ยกย่องและให้เกียรติผู้อื่น
คนเราไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ต้องการการยกย่อง และให้เกียรติด้วยกันทั้งนั้น เราควรรู้จักยกย่องให้เกียรติผู้อื่นบ้าง ตามสมควรแก่โอกาส และไม่ควรดูถูกความคิด หรือวิถีชีวิตของผู้อื่น ควรมองในแง่ที่ว่า แต่ละคนก็ต่างพอใจกับการดำเนินชีวิตในรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน และนั่นจะทำให้เราได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้น


ความสุขอยู่ที่ใจของเรา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์หรือท่ามกลางสังคมแบบไหน ถ้าใจเราเป็นสุข ชีวิตของเราก็เป็นสุขด้วยเช่นกัน ความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นจากตัวเราเอง





เว็บ ritz.exteen.com