วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การดูแลตัวเองจากกรุ๊ปเลือดจ้า

คนที่มีกรุ๊ปเลือด A :: จะ มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหม
นอกจากนี้คน กรุ๊ปเลือด A ยังไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล คาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

คนที่มีกรุ๊ปเลือด B ::เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบคู่ไปด้วย เช่น เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย
คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว์ แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดี ก็ตามแต่ก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB :: เป็นคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทน ไม่ควรดื่มคาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไป และไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด

คนที่มีเลือดกรุ๊ป O :: ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อย เพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Valentine's Day


Saint Valentine

Numerous early Christian martyrs were named Valentine.[4] The Valentines honored on February 14 are Valentine of Rome (Valentinus presb. m. Romae) and Valentine of Terni (Valentinus ep. Interamnensis m. Romae).[5] Valentine of Rome[6] was a priest in Rome who was martyred about AD 269 and was buried on the Via Flaminia. His relics are at the Church of Saint Praxed in Rome.[7] and at Whitefriar Street Carmelite Church in Dublin, Ireland.

Valentine of Terni[8] became bishop of Interamna (modern Terni) about AD 197 and is said to have been martyred during the persecution under Emperor Aurelian. He is also buried on the Via Flaminia, but in a different location than Valentine of Rome. His relics are at the Basilica of Saint Valentine in Terni (Basilica di San Valentino).[9]

The Catholic Encyclopedia also speaks of a third saint named Valentine who was mentioned in early martyrologies under date of February 14. He was martyred in Africa with a number of companions, but nothing more is known about him.[10]

No romantic elements are present in the original early medieval biographies of either of these martyrs. By the time a Saint Valentine became linked to romance in the fourteenth century, distinctions between Valentine of Rome and Valentine of Terni were utterly lost.[11]

In the 1969 revision of the Roman Catholic Calendar of Saints, the feastday of Saint Valentine on February 14 was removed from the General Roman Calendar and relegated to particular (local or even national) calendars for the following reason: "Though the memorial of Saint Valentine is ancient, it is left to particular calendars, since, apart from his name, nothing is known of Saint Valentine except that he was buried on the Via Flaminia on February 14."[12] The feast day is still celebrated in Balzan (Malta) where relics of the saint are claimed to be found, and also throughout the world by Traditionalist Catholics who follow the older, pre-Vatican II calendar.

The Early Medieval acta of either Saint Valentine were excerpted by Bede and briefly expounded in Legenda Aurea.[13] According to that version, St Valentine was persecuted as a Christian and interrogated by Roman Emperor Claudius II in person. Claudius was impressed by Valentine and had a discussion with him, attempting to get him to convert to Roman paganism in order to save his life. Valentine refused and tried to convert Claudius to Christianity instead. Because of this, he was executed. Before his execution, he is reported to have performed a miracle by healing the blind daughter of his jailer.

Legenda Aurea still providing no connections whatsoever with sentimental love, appropriate lore has been embroidered in modern times to portray Valentine as a priest who refused an unattested law attributed to Roman Emperor Claudius II, allegedly ordering that young men remain single. The Emperor supposedly did this to grow his army, believing that married men did not make for good soldiers. The priest Valentine, however, secretly performed marriage ceremonies for young men. When Claudius found out about this, he had Valentine arrested and thrown in jail. In an embellishment to The Golden Legend provided by American Greetings, Inc. to History.com and widely repeated, on the evening before Valentine was to be executed, he wrote the first "valentine" himself, addressed to a young girl variously identified as his beloved,[14] as the jailer's daughter whom he had befriended and healed,[15] or both. It was a note that read "From your Valentine."[

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

วันเด็กจ้า

ซึ่งคำขวัญประจำวันเด็กแห่งชาติ ปี 2553 ที่ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ได้มอบให้เป็นของขวัญแก่เด็กๆ ชาวไทยทุกคน ก็คือ “คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม” นอกจากคำขวัญวันเด็กแห่งชาติประจำปีนี้แล้ว พี่ปัดยังมี “4 สถานที่ที่เด็กๆ ชื่นชอบ” มาฝากด้วยจ้ะ ไปดูกันเลยดีกว่าว่ามีสถานที่น้องๆ ชาว Dek-D.Com ชอบไปรวมอยู่ด้วยรึเปล่า

เด็กดีดอทคอม :: 4 สถานที่ กับ ความทรงจำในวัยเด็ก; tags: วันเด็ก ,เด็ก , คำขวัญ , มกราคม , สวนสัตว์ , สวนสนุก , ท้องฟ้าจำลอง , ของเล่น , รถไฟเหาะ , วัยรุ่น 4 สถานที่ กับ ความทรงจำในวัยเด็ก



สวนสนุก >> ถ้า เอ่ยถึงสถานที่แห่งนี้ พี่ปัดเชื่อว่าทุกคนจะนึกถึงความตื่นเต้น สนุกสนาน ที่รออยู่เลยใช่ไหมจ๊ะ เพราะเครื่องเล่นแต่ละชนิดก็จะมีความสนุกที่แตกต่างกันออกไป เช่น รถไฟเหาะก็จะให้ความรู้สึกหวาดเสียว ลงมาอาจจะมีอาการอาเจียนบ้างเล็กน้อย เหมาะสำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้นเป็นที่สุด หรือถ้าต้องการชื่นชมวิวบรรยากาศสวยๆ ล่ะก็ ต้องกระเช้าลอยฟ้าเลยจ้ะ



สวนสัตว์ >> ถือว่าเป็นสถานที่ที่จะทำให้น้องๆ ได้พบเห็นสัตว์นานาสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม , สัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก , สัตว์ป่าดุร้าย , สัตว์ เลื้อยคลาน ไปจนถึงสัตว์ป่าหายาก ทำให้ได้เรียนรู้ถึงการดำรงชีวิตของสัตว์แต่ละสายพันธุ์ และได้รู้ว่าภายใต้ความน่ากลัวก็ยังมีความน่ารักซ่อนอยู่ด้วย



แผนกของเล่น >> จำ กันได้รึเปล่าจ๊ะว่า เวลาที่อยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ ตุ๊กตา รถวิทยุบังคับ ฯลฯ น้องๆ ก็มักจะขอร้องให้คุณพ่อคุณแม่พาไปที่แผนกของเล่นในห้างสรรพสินค้า เพราะสถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นสวรรค์เล็กๆ ที่รวบรวมของที่อยากได้มากที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว น้องๆ บางคนอาจจะเคยลงไปนั่งร้องไห้กับพื้น เพื่อขอให้คุณพ่อ คุณแม่ช่วยซื้อของขวัญที่อยากได้ด้วยใช่ไหมจ๊ะ



ท้องฟ้าจำลอง >> เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น้องๆ ชอบไปใช่ไหมจ๊ะ เพราะที่แห่งนี้ให้ความรู้ทางดาราศาตร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบสุริยะ กลุ่มดาวฤกษ์ , กลุ่มดาวเคราะห์ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีห้องฉายดาว ที่จะพาไปสำรวจหาสิ่งต่างๆ เช่น กลุ่มดาวจักรราศี , ค้นหาชีวิตต่างดาว อีกด้วย

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Christmas Day


"Christmas Day" redirects here. For other uses, see Christmas (disambiguation) and Christmas Day (disambiguation).Christmas[2] or Christmas Day[3][4] is an annual Christian holiday commemorating the birth of Jesus Christ.[5][6] It is celebrated on December 25, but this date is not known to be Jesus' actual birthday, and may have initially been chosen to correspond with either the day exactly nine months after some early Christians believed Jesus had been conceived,[7] a historical Roman festival,[8] or the date of the northern hemisphere's winter solstice.[9] Christmas is central to the Christmas and holiday season, and in Christianity marks the beginning of the larger season of Christmastide, which lasts twelve days.[10]

Although traditionally a Christian holiday, Christmas is also widely celebrated by many non-Christians,[1][11] and some of its popular celebratory customs have pre-Christian or secular themes and origins. Popular modern customs of the holiday include gift-giving, music, an exchange of greeting cards, church celebrations, a special meal, and the display of various decorations; including Christmas trees, lights, garlands, mistletoe, nativity scenes, and holly. In addition, Father Christmas (known as Santa Claus in some areas, including North America, Australia and Ireland) is a popular mythological figure in many countries, associated with the bringing of gifts for children.[12]

Because gift-giving and many other aspects of the Christmas festival involve heightened economic activity among both Christians and non-Christians, the holiday has become a significant event and a key sales period for retailers and businesses. The economic impact of Christmas is a factor that has grown steadily over the past few centuries in many regions of the world.

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของกุยช่าย

แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่าย มีใยอาหารมาก จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี

แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียด แล้วพอกบริเวณที่มีอาการ เพื่อบรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้

แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทาน หรือจะทำเป็นยาเม็ดรับประทานก็ได้

รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู

บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่า แม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักกุยช่าย จะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานผักกุยช่ายกันดีกว่า.

ประโยชน์ของกุยช่าย

แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่าย มีใยอาหารมาก จึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี

แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียด แล้วพอกบริเวณที่มีอาการ เพื่อบรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้

แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทาน หรือจะทำเป็นยาเม็ดรับประทานก็ได้

รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู

บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่า แม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักกุยช่าย จะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานผักกุยช่ายกันดีกว่า.

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

7 สุขนิสัยที่ต้องเข้าใจให้ถูก

7 สุขนิสัยที่ต้องเข้าใจให้ถูก
คนสมัยนี้ได้รับความรู้เรื่องสุขนิสัย สุขบัญญัติจากโรงเรียน จากสื่อ จากเพื่อนร่วมงาน ร่วมก๊วนกอล์ฟ ก๊วนเทนนิส ก๊วนซิ่ง และจากคนข้างบ้าน



พล.ต.ต.นพ.นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์

คนส่วนมากไม่ว่าจะเป็นไทย จีน ญี่ปุ่น แขก ฝรั่ง ต่างก็มีความโน้มเอียงจะเชื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์กันทั้งนั้น ทำให้มีมิจฉาทิฐิในเรื่องต่างๆ มากมายโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ เพราะทุกคนสนใจอยากจะมีสุขภาพดีมีความสุขมากๆ ตลอดไป ลองคิดดูว่าท่านมีมิจฉาทิฐิต่อไปนี้บ้างหรือไม่?

Q: ล้างมือด้วยสบู่ยาดีไหม?
A: การล้างมือเป็นสุขนิสัยที่ดีอย่างหนึ่ง เนื่องจากการติดเชื้อทางมือเป็นสาเหตุสำคัญมากอย่างหนึ่งของการเจ็บป่วย เช่น การติดโรคหวัด แผลผ่าตัดเป็นหนอง โรคท้องร่วงจากอาหาร ฯลฯ การล้างมือที่ถูกหลักเกณฑ์จึงเป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อทางมือที่ดีอย่างหนึ่ง หลายคนจึงมีความคิดต่อไปว่าการล้างมือด้วยสบู่ยาฆ่าเชื้อจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่าการล้างด้วยสบู่ธรรมดา แต่ปรากฏจากข้อมูลของกรมควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาว่าการใช้สบู่ยาฆ่าเชื้อที่มีขายในท้องตลาดไม่ได้ดีกว่าสบู่ธรรมดาเลย แถมยังฆ่าได้เฉพาะเชื้อโรคอ่อนๆ ปล่อยให้ตัวร้ายๆ แพร่พันธุ์ต่อไป เขาพบว่าการล้างมือที่ได้ผลดีและทำง่าย คือ การใช้แอลกอฮอล์ 70% (alcohol handrub ซึ่งผสมสารถนอมผิวด้วย) ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อได้มากมายกว้างขวาง เขาว่าแทบจะไม่มีเชื้อดื้อต่อมันเลย แต่อย่างไรก็ตามถ้าไม่มีสารอะไรช่วยเลย การใช้น้ำก๊อกธรรมดาล้างมือก่อนกินอาหารก็ยังดีกว่าไม่ได้ล้าง


Q: กินอาหารไขมันต่ำดีจริงไหม?
A: หลายคนคงเคยได้ยินได้อ่านมาว่าการกินอาหารไขมันต่ำช่วยลดน้ำหนัก บางคนจึงกินอาหารไขมันต่ำมาตลอด โดยไม่มีความเข้าใจเรื่องโภชนาการอย่างครบถ้วน ความอ้วนเกิดจากการกินอาหารมาก ออกกำลังน้อย การกินอาหารมาก หมายถึงการกินแคลอรีมาก แคลอรีไม่ได้มาจากไขมันอย่างเดียว อาหารเกือบทุกอย่างมีแคลอรี การลดไขมันต่ำมากๆ แต่ยังกินแป้งและน้ำตาลมากเกินก็ย่อมทำให้เกิดการสะสมและเปลี่ยนแปลงไปเป็นไขมันพอกพูนในร่างกาย เคยมีการศึกษาติดตามพยาบาลจำนวนหลายพันคนที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 8 ปี โดยให้กินอาหารไขมันต่ำเปรียบเทียบกับการกินอาหารธรรมดา เมื่อเสร็จการศึกษาติดตามเขาสรุปว่าการกินอาหารไขมันต่ำหรืออาหารที่ไม่มีไขมันเลย ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนัก (ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะกินอาหารอย่างอื่นมากเกินไปและออกกำลังกายน้อยกว่าที่ควร) ไขมันทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น กินอร่อยขึ้น และไขมันบางอย่างไม่มีผลเสียมาก (ยกเว้นแคลอรีสูง) เช่น น้ำมันมะกอก ถ้าเอาไปปรุงอาหารหรือใช้ราดสลัดจะทำให้กินสลัดได้อร่อยขึ้น กินผักได้บ่อยขึ้นมีผลดีต่อสุขภาพ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าน้ำมันพืชชนิดไหนดีต่อสุขภาพ ควรละเว้นน้ำมันพืชที่ก่อให้เกิดโคเลสเตอรอลซึ่งทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตัน เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม น้ำมันจากสัตว์ และควรคำนึงถึงมวลรวมของแคลอรีจากอาหารที่กินทั้งหมด แล้วควบคุมให้อยู่ในพิกัด เขาว่าไม่ควรกินน้ำมันเกิน 30% ของแคลอรีจากอาหารทั้งหมด


Q: กินแครอทแล้วสายตาดีจริงหรือไม่?
A: แครอทมีวิตามินเอสูง และวิตามินเอมีส่วนทำให้การมองเห็นเป็นปกติ แต่ร่างกายต้องการวิตามินเอเพื่อการมองเห็นปกติจำนวนน้อยๆ เท่านั้น ไม่ควรเชื่อว่าการกินแครอทเพื่อจะได้รับวิตามินเอจำนวนมาก จะช่วยให้สายตาดีขึ้นกว่าปกติ หรือเพื่อจะได้ไม่ต้องใส่แว่นสายตา ที่จริงแล้วการกินวิตามินเอ (ที่ทำเป็นยาเม็ด) จำนวนมากๆ อาจจะเป็นพิษ ความเชื่อเรื่องกินแครอทแล้วสายตาดีมีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยนั้นวงการสืบราชการลับอังกฤษแกล้งปล่อยข่าวให้ไปเข้าหูศัตรูในตอนที่กองทัพอากาศเยอรมันโหมทิ้งระเบิดเกาะอังกฤษว่า การที่นักบินอังกฤษสามารถมองเห็นเครื่องบินเยอรมันในเวลากลางคืนเนื่องจากนักบินอังกฤษกินแครอทมากทำให้สายตาดี ทั้งนี้เพื่อปกปิดความจริงที่ว่ากองทัพอังกฤษสามารถสร้างระบบเรดาร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นมาได้ ทำให้เห็นเครื่องบินเยอรมันได้ดีขึ้น


Q: สารต้านอนุมูลอิสระดีจริงหรือ?
A: ปัจจุบันมีการพูดถึงทฤษฎีอนุมูลอิสระกันมาก อ้างว่าอนุมูลอิสระมีผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้นสารต้านอนุมูลอิสระจึงมีผลดีในการชะลอความแก่ ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันมะเร็ง ฯลฯ แต่เมื่อมีการผลิตยาเม็ดอนุมูลอิสระขึ้นมา และคนใช้มากขึ้นๆ ปรากฏว่าไม่ได้ผลดีดังหวัง มีการศึกษามากมายที่แสดงให้เห็นว่ามีคนกินสารเสริมต้านอนุมูลอิสระไม่ได้รับผลดีแต่ประการใด และบางการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการกินสารต้านอนุมูลอิสระทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ การศึกษาของสถาบันมะเร็งสหรัฐฯ ในปี ค.ศ.1992 ต้องยุติลงก่อนกาลหลังจากนักวิจัยพบว่าคนที่กินสารต้านอนุมูลอิสระเกิดมะเร็งปอดมากกว่าคนกินยาหลอก จนถึงปัจจุบันนี้ทฤษฎีอนุมูลอิสระยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่


Q: ดื่มน้ำวันละ 8 แก้วเพื่อสุขภาพ จำเป็นไหม?
A: นักวิชาการหลายคนพูดถึงเขียนถึงกันมากว่าควรกินน้ำวันละ 8 แก้วเพื่อสุขภาพ เนื่องจากน้ำเข้าไปล้างพิษในร่างกาย แต่ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นอย่างนั้นเลย สำหรับคนบางคนการกินน้ำมากอย่างนั้นอาจจะมีผลเสีย เพราะดื่มน้ำเข้าไปมากอาจจะไปทำให้เป็นพิษ ทำให้ระดับโซเดียมต่ำเป็นอันตราย ในปี ค.ศ.2002 หมอผู้เชี่ยวชาญทางโรคไตได้พยายามอย่างมากในการค้นคว้าหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ เพื่อดูว่ามีข้อมูลสนับสนุนการดื่มน้ำวันละ 8 แก้วมีจริงหรือเปล่า และต้นตอของเรื่องนี้มันมาจากไหน แล้วตีพิมพ์บทความใน American Journal of Physiology ปรากฏว่าไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนความหลงผิดนี้เลย จริงอยู่แม้ว่าคณะอนุกรรมการโภชนาการของคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสหรัฐอเมริกาจะแนะนำว่า ร่างกายเราต้องการน้ำ 1 ลบ.ซม. ต่ออาหารที่เรากินเข้าไป 1 แคลอรี คนทั่วไป จึงต้องการน้ำประมาณ 10 แก้ว แต่น้ำส่วนใหญ่มีอยู่ในอาหารที่เรากินเข้าไปอยู่แล้ว ไม่ต้องไปดื่มเพิ่ม การหลงผิดดื่มน้ำมากเกินไปอาจจะเกิดปัญหา เช่น นักมวยดื่มน้ำมาก กระเพาะปัสสาวะป่องขณะต่อย เขาไม่อนุญาตให้ไปเข้าห้องน้ำระหว่างยกเหมือนนักเทนนิส นักมวยคนนั้นอาจจะเป็นอันตรายจากการถูกต่อยกระเพาะปัสสาวะแตกก็เป็นได้ ความหลงผิดเรื่องล้างพิษอาจจะมีพิษภัยมาก


Q: ครีมกันแดดต้านมะเร็งได้ไหม?
A: ครีมกันแดดส่วนมากต้านมะเร็งไม่ได้ผลดี เนื่องจากใช้กันผิดๆ หมอฟรานซิสกา ฟุสโก โฆษกของมูลนิธิโรคมะเร็งผิวหนังสหรัฐอเมริกา กล่าวว่าคนส่วนมากใช้ครีมกันแดดไม่มากพอ ใช้ไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้ใช้ตั้งแต่อายุน้อย และไม่ได้ใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เขาแนะนำว่าควรใช้ครีมใต้เมคอัพ ควรทาให้ทั่วตัว ควรทาในร่มผ้าด้วย และควรรอเวลาประมาณ 30 นาทีหลังทาก่อนจะไปโดนแดด ควรใช้ครีมชนิดที่สาร mexoryl ซึ่งป้องกันทั้งรังสีอัลตราไวโอเล็ตชนิด บี และ เอ (UV B และ UV A) ครีมส่วนใหญ่ที่ใช้ๆ กันป้องกันได้แต่อัลตราไวโอเล็ตชนิดบี แต่ชนิดเอก็อันตรายเช่นกันโดยที่ไม่ทำให้ผิวไหม้แดด คนทั่วไปจึงไม่รู้ เขาว่าถ้าจะใช้ครีมกันแดดป้องกันมะเร็งต้องใช้ให้ถูกนะครับ


Q: อาหารเสริม สมุนไพรธรรมชาติ
A: บริษัทผลิตสารเสริมอาหารทั้งในไทยและเทศชอบโฆษณาว่า อาหารเสริมของเขาเป็น สมุนไพร หรือ ธรรมชาติ นัยว่าเป็นสิ่งที่ปลอดภัยและมีประโยชน์สูง คนส่วนมากก็เชื่อผิดๆ อย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่เป็นสมุนไพรหรือธรรมชาติอาจจะมีอันตรายมาก เครือข่ายสุขภาพแห่งชาติของแคนาดาได้รณรงค์ให้การศึกษาแก่ประชาชนของเขาในเรื่องนี้ เขาสอนว่าสารธรรมชาติบางอย่างอาจจะเป็นพิษถ้าบริโภคมากไป บางอย่างอาจจะทำให้แพ้ บางอย่างอาจจะเข้าไปมีปฏิกิริยากับยาที่กินอยู่ทำให้เกิดผลเสีย บางอย่างอาจจะมีผลเสีย เช่น ต่อคนตั้งครรภ์หรือคนที่เป็นโรคหัวใจ ฉลากข้างกล่องบรรจุภัณฑ์สารเสริมอาหารได้รับการตรวจสอบ แต่ที่สหรัฐฯ ไม่ได้ตรวจสอบเข้มงวด คิดว่าในเมืองไทยก็คงจะไม่มีเจ้าหน้าที่เพียงพอในการตรวจสอบเนื่องจากไม่ใช่ยาจึงไม่เข้มงวดมาก ผู้บริโภคก็คงต้องตัวใครตัวมันว่างั้นเถอะ!


ในยุคสมัยน้ำมันแพงค่าแรงถูก เงินเดือนต่ำ คนธรรมดาอย่างเราต้องอาศัยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประหยัดและอดออม อย่ายอมตัวเป็นเหยื่อโฆษณา รักษาเงินที่หายากเอาไว้ให้นานที่สุด


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today