วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

แก๊สโซฮอล์ สร้าง สารก่อมะเร็ง 2 ชนิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 มี.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดสัมนาวิชาการเรื่องทิศทางการวิจัยกับการแก้ไขวิกฤติสิ่งแวดล้อม โดย นาง เดซี่ หมอกน้อย นักวิจัยด้านอากาศ จากศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม นำเสนอผลงานวิจัยปริมาณการแพร่กระจายของสารประกอบคาร์บอนิลในอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร ระหว่างปี 2549 - 2551 ว่า ภายหลังรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เนื่องจากราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินและดีเซลเฉลี่ย 5-10 บาทต่อลิตรและเตรียมเพิ่มสัดส่วนปริมาณเอทานอลให้มากขึ้นจากเดิมที่กำหนด 15% เป็น 85% ทำให้คาดการณ์ว่าจะส่งผลให้สารพิษกลุ่มคาร์บอนิล ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและอยู่ในกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศ มีแนวโน้มสูงขึ้นตามมาด้วย



นางเดซี่ กล่าวว่า เมื่อทำการวิจัย และเก็บตัวอย่างสารกลุ่มคาร์บอนิล แบบใช้ปั๊มดูดอากาศครอบคลุมพื้นที่ริมถนน 49 จุดในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีการจราจรหนาแน่น ก็พบค่าความเข้มข้นของสารกลุ่มคาร์บอนิล 10 ชนิด อาทิ ฟอร์มัลดีไฮด์ อะเซทัลดีไฮด์ อะซีโตน อะโครรีน มีความเข้มข้นแตกต่างกันไป ที่น่าตกใจ คือ พบระดับค่าความเข้มข้นของฟอร์มัลดีไฮด์ และอะเซทัลดีไฮด์ มีความเข้มข้นเกินมาตรฐานเฝ้าระวังที่หน่วยงานประเมินด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของสหรัฐอเมริกาประเมินความเสี่ยงของคนที่รับสารชนิดนี้เพียง 1.23 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรจำนวน 40 ต่อ 1 ล้านคน มีโอกาสเป็นมะเร็ง



นางเดซี่ กล่าวต่อไปว่า ขณะที่บริเวณริมถนนของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนพระราม 5 รัชดาภิเษก สุขุมวิท และดอน เมืองมีค่าความเข้มข้นของสารฟอร์มัลดีไฮด์ 10.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สูงเกินระดับความเสี่ยงของสหรัฐอเมริกา 5 เท่า และสูงกว่าเมืองโอซาก้าของญี่ปุ่น และเมืองออนทาริโอของแคนาดา 3-5 เท่า ค่าความเข้มข้นของ สารอะเซทัลดีไฮด์อยู่ในช่วง 3.31 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรจากมาตรฐานของอเมริกา 2.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรและถือว่ามีค่าความเข้มมากกว่าเช่นกัน



นางเดซี่ กล่าวอีกว่า ส่วนสาเหตุที่ทำให้แก๊สโซฮอล์มีสารมลพิษดังกล่าว มาจากกระบวนการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อรถยนต์ปล่อยสารมลพิษออกมาแล้วเจอกับแสงในบรรยากาศ จะส่งผลให้สารมลพิษตัวอื่นๆเพิ่มมากขึ้น โดยจะเห็นว่ากรุงเทพมหานคร ตรวจพบโอโซนในบรรยากาศสูงขึ้น รวมทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีผลต่อสุขภาพมีแนวโน้มสูงขึ้น




“ช่วง 2-3 ปีในพื้นที่ริมถนนที่มีการจรจรหนาแน่น โดยเฉพาะตอนกลางวันควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในเขตที่มีการจราจรคับคั่ง กรมควบคุมมลพิษได้ออกมาตรฐานค่าเฝ้าระวังสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบรรยากาศรวม 9 ชนิด อาทิ สารเบนซิน แต่สำหรับสารฟอร์มัลดีไฮด์ และสารอะเซทัลดีไฮด์ ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐาน แต่แนวโน้มการใช้ก๊าซโซฮอล์ที่มีปริมาณ 5 ล้านลิตรต่อวัน ก็ควรต้องเร่งพิจารณาออกมาตรฐาน”นางเดซี่ กล่าว




ด้านนายสุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า มลพิษหลักเป็นฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน โดยเฉพาะใน ต.หน้าพระลาน จ.สระบุรี และพื้นที่ จ. ราชบุรี สมุทรปราการ ลำปาง พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ และนครราชสีมา ส่วนกรุงเทพมหานคร ฝุ่นริมถนนค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ตรวจวัดได้ 8.1-205.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินมาตรฐาน 3.3% ลดลงจากปี 2550 ที่ตรวจวัดได้ในช่วง 9.8-242.7 มคก./ลบ.ม. หรือ 4.7%




อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวต่อไปว่า สำหรับพื้นที่ที่ยังมีปัญหาคือ ถนนดินแดง พระราม 6 พระราม 4 ราชปรารภ พิษณุโลก สุขุมวิท เยาวราช สามเสน สุขาภิบาล 1 นอกจากนี้ยังมีปัญหามลพิษทางอากาศจากก๊าซโอโซนที่เกินมาตรฐานเป็นครั้งคราว ในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ราชบุรี แนวโน้มปัญหาก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จะกลับมาเป็นมลพิษอันดับต้นๆในพื้นที่กรุงเทพมหานครหลังจากที่ปี 2548-2549 มลพิษดังกล่าวไม่เคยพบเกินมาตรฐาน แต่ระหว่างปี 2550-2551 ตรวจพบเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะในเขตที่มีการจราจรหนาแน่นมาก อาทิ พื้นที่ดินแดง



อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากรถเก่าซึ่งส่วนหนึ่งไม่ได้รับการดูแลรักษาเครื่องยนต์และนำรถไปติดตั้งแก๊สเป็นเชื้อเพลิง ทั้งที่ส่วนใหญ่เข้าใจว่าจะลดมลพิษ แต่จากการสุ่มตรวจพบว่ากลับมีมลพิษตัวนี้ออกมาในปริมาณสูงมาก ปัญหาน่าจะมาจากการติดตั้งระบบแก๊สในส่วนควบคุมการจ่ายแก๊สไม่มีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาจะเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก แต่ไม่คำนึงถึงมลพิษ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนได้ประสานไปยังกระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางบกให้ตรวจสอบการระบายมลพิษจากการติดตั้งแก๊สด้วย เพราะถ้าไม่ควบคุม จะทำให้มลพิษในกรุงเทพมหานครน่าเป็นห่วงยิ่งขึ้น



ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

เคล็ดลับเรียนเก่ง ของเด็กมหาลัย



ชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัยจะแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการเรียน ม.ปลาย เริ่มตั้งแต่การกำหนดเวลาเรียนเอง (การแย่งกันลงทะเบียน ) การกะเวลาเข้าเรียนเอง (กรณีวิชานั้นๆไม่มีคะแนนเข้าห้อง) และการที่ต้องแบ่งเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ (แล้วแต่ใครจะรวมเวลาเที่ยวเล่นลงไปด้วยก็แล้วแต่นะจ้ะ ^-^) สรุปแล้วว่า freedom กว่าเดิมแยะ และความ freedom นี่แหละ ทำให้นักศึกษาหลายต่อหลายคน จบชีวิต(ความเป็นนักศึกษา คณะนั้นๆ) ไปหลายต่อหลายคน (ไทด์ นั่นเองล่ะพี่น้องค้าบ^o^) พี่เองก็เจอกะตัวมาแล้ว สนุกไปนิด ชะล่าใจไปหน่อย คะแนนออกมา ตกมีนแทบทุกตัว T-T แทบแย่เหมือนกันกว่าจะตั้งหลักได้

ว่าแล้วก็มีเทคนิคดีๆมาฝาก เผื่อน้องๆกะเพื่อนๆจะเอาไปใช้นะจ้ะ พี่ลองดูแล้วเกรด 3 up ทุกเทอมเลย (ไม่ได้โม้นา ^o^)

1.คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนคะ.
เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือคะ. เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้คะ. ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ ยากคะ!. (สำหรับนักเที่ยวนอนดึกทั้งหลาย ลดดีกรีลงมาหน่อย เที่ยวเฉพาะวันเสาร์ไม่ก็วันที่ไม่มีเรียนเอาดีกว่านะจ้ะ)


2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ คะ.
เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอคะ. แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องคะ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว ต้องอ่านทุกวัน (อาจฟังดูยาก แต่ถ้าอ่านทุดวันเป็นกิจวัตรก็จะเกิดความเคยชิน ไม่หนักเลยค่ะ) เว้นแต่ถ้าไม่ได้ใกล้ช่วงสอบมากนัก จะพักผ่อนวันเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ว่ากันค่ะ


3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรคะ. อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยก. ครั้งละ 25 - 30 นาที และพัก 5- 10 นาที


4. อ่านจบวันนึง ๆ ไม่ต้องถึงกับมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ หรอกนะคะ.
สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร ก็พอค่ะ


5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง
ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ค่ะ. ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดี
ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ค่ะ.


6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาค่ะ. ต้องพอรู้เกี่ยวกับแนวการสอนที่อาจารย์วิชานั้นๆสอน รู้ว่าอาจารย์ชอบเน้นจุดไหน ย้ำเนื้อหาตรงไหนบ่อยๆนั่นแหละค่ะแนวข้อสอบทั้งนั้น!





7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ
อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วค่ะ. ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลค่ะ. แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยค่ะ. จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัดมา(อย่าคิดว่าเรียนมหาลัยแล้วไม่ต้องทำแบบฝึกหัดนะคะ) ทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด .




สำคัญคือความตั้งใจนะค่ะ.
ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว
ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด
สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง
ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้
โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า
ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า
บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น
มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด
เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา
ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วค่ะ.
ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท
เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือแคลคูลัส 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกค่ะ.
จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยค่ะ


8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ
ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีค่ะ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงค่ะ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัฒนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร
ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ค่ะ.
ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว
ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง
โดยทำดังต่อไปนี้ค่ะ.
- ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์
นึกนะคะ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ
จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง
จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
ให้เลิกค่ะ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที
กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่
คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะคะ.
ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์


9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อย
คือกระบวนการสอบแข่งขันค่ะ.
ตรงนี้สำคัญมาก เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม ให้ลองลงสนามสอบอย่าง TOFEL TOEIC สอบชิงทุนไปเลยหลายๆสนาม เป็นการวัดวิทยายุทธ ของเราว่าเทียบกับชาวโลกแล้ว เราอยู่ระดับไหน จะได้เอาไปพัฒนาตัวเองได้ต่อไป

http://edunews.eduzones.com/choticmu/18825

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

เคล็ด เลือกคณะ ต้องมีฝัน – รู้ศักยภาพ ตัวเอง

นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการ กกอ. เผยเคล็ดเลือกคณะ เรียนต่อระดับอุดมศึกษา ชี้ทุกคน ควรมีฝันว่าอยากจะเป็นอะไร แล้วสำรวจตัวเอง ให้มั่นใจ ก่อนตัดสินใจ เลือก 4 อันดับ ย้ำทุกอันดับ ควรเลือกจากความชอบ เพื่อจะได้เรียนในสิ่งที่เหมาะกับตัวตน แนะนักเรียน นักศึกษาและผู้ที่สนใจ เข้ารับฟังข้อมูลทุกด้านในงานมหกรรมอุดมศึกษาและศึกษาต่อ 2552 ระหว่าง 3-5 เม.ย.นี้ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว

นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยถึง การรับสมัครบุคคลเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ในระบบแอดมิสชั่นส์กลาง ปีนี้ว่า ในระหว่างวันที่ 11-20 เมษายนนี้ จะเปิดรับสมัครผ่านทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th และ ชำระค่าสมัครผ่านทางธนาคารและที่ทำการไปรษณีย์ไทย

จึงอยากจะให้นักเรียนทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญคือการเลือกคณะเพื่อเข้าเรียนในสถาบันต่าง ๆ จำเป็นที่จะต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบ จึงอยากแนะนำประเด็นสำคัญ ๆ คือ สิ่งแรกน้อง ๆ จะต้องรู้และเข้าใจตัวเอง ต้องรู้ว่าขณะนี้มีความฝันอะไรบ้าง ฝันว่าอยากมีอาชีพอะไร ฝันว่าอยากทำงานแบบไหนฝันว่าอยากมีรายได้เท่าไหร่ ความฝันต้องมาก่อน บางคนฝันตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ ม.1-3 ว่าอยากเป็นหมอ บางคนฝันอยากจะเป็นครู ความฝันทั้งหมดจะเริ่มต้นก่อน จากความฝันจะนำไปสู่ความจริง คือ ถ้าฝันอยากจะเป็นครูต้องตรวจสอบตัวเองอย่างจริงจังว่าชอบครูหรือเปล่า ฝันจะเป็นหมอ ก็สำรวจตัวเองว่าชอบหรือ เปล่า

เลขาธิการ กกอ.กล่าวอีกว่า ในการสำรวจตัวเองว่าการชอบไม่ชอบจริงหรือไม่ แนะนำว่าต้องไปดูวิถีคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในขณะนี้ที่เป็นต้นแบบของเราว่าเขามีความสุขจริงๆ หรือเปล่า ข้อมูลพวกนี้อยู่ที่สภาพแวดล้อมจริง จะทำให้เราเห็นการทำงานจริง จะรู้เส้นทางการทำงานชัดเจนมากขึ้น เมื่อเราชอบและเห็นวิถีชีวิตจริงแล้วเราทนได้ เราปฏิบัติได้ ต่อไปก็ต้องดูว่าเราก็ต้องดูศักยภาพว่าเราพร้อมที่จะเรียนพัฒนาตัวเองไปถึงจุดนั้นหรือเปล่า ศักยภาพเป็นเรื่องสำคัญ ณ วันนี้เราบอกเราเรียนได้ คนที่เป็นหมอเก่งวิทยาศาสตร์ แต่ต่อไปในอนาคตทักษะที่เราเก่งอาจจะเปลี่ยนได้ ศักยภาพต้องมองทั้งปัจจุบัน ทั้งในอดีต และต้องมองไปถึงอนาคตว่าเรามีศักยภาพที่จะประกอบอาชีพนั้นได้หรือไม่ เรามีศักยภาพที่จะเรียน อย่างจริงจังในวิชานั้นๆ ได้หรือไม่

“ศักยภาพเป็นเรื่องที่จะต้องตรวจสอบกันให้ดี ศักยภาพส่วนใหญ่ดูได้จากการเรียนการสอนที่ผ่านมา จะบอกได้ว่าเราชอบวิชานั้น จริงไม่จริง เราได้คะแนนสูงหรือไม่สูง ครูอาจารย์ก็เป็นอีกช่องทางที่จะแนะนำเรื่องศักยภาพเราได้ ว่าสุดท้ายแล้วเรารักวิชานั้นจริงหรือเปล่า บางครั้งได้คะแนนสูงก็ไม่ได้หมายความว่าเราชอบวิชานั้น ซึ่งข้อมูลการเลือกคณะ การค้นหาศักยภาพ การเรียนต่อ หรือเรื่องทุนการศึกษา ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ในงานมหกรรมอุดมศึกษาและศึกษาต่อ 2552 โดยครั้งนี้สำนักงานคณะกรมการการอุดมศึกษา หรือสกอ.ร่วมเป็นเจ้าภาพด้วย“ นายสุเมธกล่าวในตอนท้าย

สำหรับงานมหกรรมอุดมศึกษาและศึกษาต่อ ประจำปี 2552 จะจัดขึ้นในวันที่ 3-5 เมษายน 52 ที่จะถึงนี้ เริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ Central ลาดพร้าว บริเวณชั้น 4-5 Bangkok Convention Centre กรุงเทพฯ ซึ่งภายในงานจะมีการบรรยายจากวิทยากรด้านการศึกษาที่ถือเป็นข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นสำหรับนักเรียนนักศึกษา เช่น

- การเก็งคะแนน Admissions 52

- เส้นทางสู่อุดมศึกษาที่หลากหลาย

- การศึกษาต่อและขอทุนต่างประเทศ ฯลฯ

การให้คำแนะนำรายบุคคลจากอาจารย์ รุ่นพี่นักศึกษา ดารา นักร้อง กว่า 300 คน ตลอดจนสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศกว่า 300 สถาบัน มีบริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้านการศึกษา เช่น

- โปรแกรมช่วยเลือกคณะ

- ประเมินโอกาสสอบติด

- ค้นหาตัวเอง ฯลฯ

ไว้สำหรับบริการผู้เข้าร่วมงานพร้อมรับของที่ระลึกมากมาย ผู้ที่สนใจ จองเข้าชมงานฟรีได้ที่

http://expo.eduzones.com/2009/

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

บทความดีๆ สำหรับน้องๆ ที่สนใจด้านการโรงแรม และการท่องเที่ยว





"อนาคตการเรียนด้านการโรงแรม การท่องเที่ยว ยังน่าเรียนหรือไม่ ???"



ความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา...
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ถือว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จของประเทศไทย มีมูลค่าการลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ในปี 2503 มีนักท่องเที่ยว 81,000 คน สร้างรายได้ถึง 196 ล้านบาท 50 ปีต่อมา จนถึงปี 2552 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศแล้วกว่า 14 ล้านคน สร้างรายได้ถึง 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งยังมีโอกาสของการเติบโตที่ดี เพราะประเทศไทยมีชื่อเสียงเรื่องมีภูมิประเทศที่สวยงาม มีความหลากหลายทั้งที่เป็นป่า ภูเขา และทะเลที่สวยงาม มีศิลปวัฒนธรรม และที่สำคัญ คือ คนไทยมีอัธยาศัยที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเป็นมิตร ดังจะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้รับการโหวตเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ติดลำดับต้นๆ เสมอมา

แต่ในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา น้องๆ คงได้ทราบข่าวเกี่ยวกับสภาวะตกต่ำของเศรษฐกิจ และเหตุการณ์ความไม่สงบ จนถึงขั้นปิดกั้นสนามบิน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้สถานการณ์ทางด้านการท่องเที่ยวของไทยซบเซา และทำให้ประเทศไทย สูญเสียรายได้เข้าประเทศไปเป็นจำนวนมหาศาล เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รายได้หลักอันดับหนึ่งของประเทศไทย คือรายได้ที่เกิดจากธุรกิจการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมบริการ

อนาคตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย…
แม้ว่าประเทศไทย จะประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจ และความไม่สงบภายใน ดังที่กล่าวมา แต่แนวโน้มในภายภาคหน้า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย จะสามารถฟื้นฟู และกลับมาเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศได้ สังเกตุได้จากรายได้เข้าประเทศจากการท่องเที่ยวในเดือนมกราคมที่ผ่านมา กลับมามากกว่าในปีที่แล้ว แม้ว่าจะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ความไม่สงบมาไม่นาน เพราะประเทศไทย มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมระดับโลกอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพมหานคร, จ.เชียงใหม่, เกาะพีพี ดอน จ.กระบี่ , เกาะพงัน และเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี และอื่นๆ อีกมากมาย (จากการประกาศรางวัล “2008 Traveler’s Choice Destination Awards” และในการจัดอันดับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเอเชีย “A Top Asian Destination”)
และจากผลการสำรวจของต่างประเทศยังให้ประเทศไทยเป็นแหล่งที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุด จากผลสำรวจผลโหวตทางการท่องเที่ยวระดับโลก โดย ฟิวเจอร์แบรนด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ กับบริษัท เวเบอร์ แชนด์วิค บริษัทประชาสัมพันธ์ระดับโลก ที่จัดการสำรวจติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ซึ่งการสำรวจนั้นครอบคลุมธุรกิจระหว่างประเทศ และนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยได้คว้า อันดับหนึ่งของผลโหวต "Best Country Brand for Value for Money" หรือประเทศที่เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวที่คุ้มค่าเงินที่สุด ติดอันดับที่ 3 ของความมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ติดอันดับที่ 3 ของความเป็นมิตร และอันดับที่ 4 สำหรับการเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายในการชอปปิง การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คุ้มค่านี้ก็เป็นโอกาสที่ในยามวิกฤตที่หากจะประหยัดเงินในการ ท่องเที่ยวแล้วประเทศไทยก็ยังจะเป็นทางเลือกลำดับต้นๆ ซึ่งรางวัลที่ได้กล่าวมา นับเป็น รางวัลอันทรงเกียรติและน่าภาคภูมิใจของชาวไทย เปรียบเสมือนเสียงสะท้อนจากทั่วโลก ว่าประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศส่วนใหญ่จากทั่วทุก มุมโลกยังคงให้ความสนใจ และมีความประสงค์ที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ททท. ได้รุกทำการตลาดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ จากทั่วโลก (e-Marketing Thailand Campaign) โดยเน้นไปที่การเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของ ประเทศไทยในด้านต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวเกิดการรับรู้ว่าประเทศไทยปลอดภัย สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ และมีความคุ้มค่าในการใช้จ่ายมากที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ

ตามที่กล่าวมาข้างต้น ความเป็นไปได้ในการที่ ประเทศไทย จะกลับมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และการที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จะกลับมาเป็นแหล่งรายได้หลักที่สร้างกำไร และความมั่งคั่งให้กับประเทศไทย จึงไม่ใช่เรื่องยาก นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่สนับ สนุนการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของไทย โดยมุ่งเน้นที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีกมากมาย โดยล่าสุด ก็มีการออกแคมเปญการส่งเสริมให้คนไทยท่องเที่ยวในประเทศเพื่อการกระจาย รายได้ และพลิกฟื้นเศรษฐกิจอีกด้วย
ดังนั้นหากน้องๆ ที่สนใจศึกษาต่อทางด้านการโรงแรม และการท่องเที่ยวอยู่แล้ว หรือยังไม่ทราบว่าจะเรียนต่อในสายใด หากมีใจรักงานบริการ รักที่จะเรียนรู้ และฝึกฝนความสามารถของตนเอง ทั้งในด้านวิชาการโรงแรม และภาษาอังกฤษ แล้วล่ะก็ สาขานี้ก็ยังเป็น สาขาที่น่าเรียน สามารถมีอนาคตที่ก้าวหน้า มั่นคง และสามารถประสบ ความสำเร็จในชีวิตการทำงานได้ไม่แพ้สาขาอื่นๆ ครับ เพราะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการบริการในประเทศไทย ยังจะขยายตัว และต้องการผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งทางด้านนี้อีกมาก นอกจากนี้ โอกาสที่น้องๆ จะได้ไปทำงานในต่างประเทศ นำรายได้เข้าสู่ประเทศก็มีสูงมาก เพราะการบริการแบบไทย หรือที่เรียกว่า “Thai Hospitality” ถือว่าเป็นที่นิยม และเป็นที่ประทับใจของนักท่องเที่ยว และสถานประกอบการในต่างประเทศ จนเป็นที่โด่งดังไป ทั่วโลกอีกด้วย ดังนั้นการเรียนในสายนี้ ไม่ว่าจะทำงานในประเทศ หรือต่างประเทศ ก็ถือว่าเป็นการช่วยชาติอีกทางหนึ่ง นอกจาก นี้การเรียนในสายนี้ ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการจะทำธุรกิจในด้าน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร บริษัททัวร์ ฯลฯ อีกด้วย

สำหรับบทความหน้า พี่จะมาเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดต่างๆ ของวิชาทางด้านการโรงแรม และการท่องเที่ยว ว่ามีสายใดบ้าง จบแล้วจะได้ทำงานอะไรได้บ้าง และมีโอกาสก้าวหน้าทางหน้าที่การงานอย่างไรบ้างครับ ขอบคุณน้องๆ ที่สนใจทุกคนครับ




ที่มาของข้อมูล :

- ดร.อาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 08 มกราคม พ.ศ. 2552 และ วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552
- http://thai.tourismthailand.org/ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
- www.thaigov.go.th (รัฐบาลไทย

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

กินอะไรถึงบำรุงสายตา

นายแพทย์คำนูณ อธิภาส ผู้อำนวยการศูนย์เลสิกกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ หัวเราะร่วนก่อนให้คำตอบว่า จริงๆ แล้ว ตาของคนเราต้องการวิตามินหลายชนิด "ผักบุ้งอย่างเดียวคงไม่พอนะ"

เริ่มตั้งแต่ "วิตามินเอ" ที่มีผลต่อเรตินาหรือจอรับภาพ ผิวกระจกตา ผิวเยื่อบุ ขณะที่ "วิตามินซี" ก็จะเกี่ยวข้องกับน้ำตา ผิวกระจกตา และเส้นใยคอลลาเจนในตาดำ ส่วน "วิตามินบี" จะมีผลต่อความไวของประสาทเกี่ยวกับการส่งสัญญาณไปยังสมอง

"ด้วยความที่เราต้องการวิตามินเยอะมาก ดังนั้น จึงต้องรับประทานพืชผักหลายชนิด อย่าง แครอท หรือผักบุ้งก็จะประกอบด้วยวิตามินหลายอย่าง แต่ผมคงไม่ได้เจาะจงว่าให้กินผักบุ้งอย่างเดียว ควรจะกินอาหารหลายๆ อย่าง ให้ครบหมวดหมู่ตามที่ร่างกายต้องการจะดีกว่า" คุณหมอยิ้มแถมด้วยคำอธิบายเล็กๆ เกี่ยวกับความเชื่อที่ว่า หากสายตาสั้นตอนเด็ก แก่ตัวไปสายตาก็จะยาว ทำให้สายตากลับมาสมดุลปกติ

"อาการสายตายาวแบบผู้สูงอายุ หรือที่เรียกว่า presbyopia คือ 'ดูไกลชัดแต่ดูใกล้ไม่ชัด' มักจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงอายุ 40 ปี หลายคนคิดว่าพอสายตายาวในตอนแก่แล้ว จะทำให้สายตาสั้นที่มีอยู่เดิมก่อนหน้านี้หายไปได้ จริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง เพราะสายตาสั้นของเก่าก็จะยังอยู่เหมือนเดิม แต่จะเกิดอาการสายตายาวเกิดซ้อนขึ้นมาด้วย นั่นยิ่งทำให้แย่มากกว่าเดิมเสียอีก จึงควรเข้ารับการรักษา อาจต้องหาแว่นตามาสวม หรือใช้วิธีการรักษาอื่นๆ ก็ว่ากันไป"

แต่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะเลือกที่จะใช้แว่นตา หรือคอนแทคเลนส์มากกว่าวิธีอื่น อาจด้วยราคาที่ถูก และคิดว่าตาก็ดีๆ อยู่แล้ว ทำไมต้องไปทำอะไรกับมันให้วุ่นวาย ต่างจากมุมมองของจักษุแพทย์ที่เห็นว่าแม้สายตาสั้น-ยาว จะเป็นตาที่มีสุขภาพดีจริง แต่ถือว่ามีความผิดปกติที่น่าจะได้รับการแก้ไข

"คนทั่วไปมองว่าสายตาสั้นนิดยาวหน่อยเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็ตาดีๆ อยู่ จะไปทำอะไรกับมันทำไม จริงๆ สายตาสั้น ยาว เอียง เป็นตาที่มีสุขภาพดี แต่ถ้าในวงแพทย์จะถือว่าเป็นความผิดปกติ สมมติเรามีสายตาสั้น 500 ระยะใกล้ที่มองเห็นได้ชัดที่สุดต้อง 20 เซนติเมตร นั่นทำให้สมรรถภาพในการมองเห็นของเราด้อยลงไป"

การเข้ารับการรักษาให้ตามองเห็นได้ชัดเจนในระยะที่สมควรจะเป็น จึงเป็นการแก้ความผิดปกติ บางคนอาจมองว่าเป็นการเสริมความงามให้กับตัวเองเกินไปหรือเปล่า คุณหมอหยุดคิดก่อนจะทิ้งท้ายว่า "ก็เป็นส่วนหนึ่งนะ อย่างปัจจุบันคนอเมริกันทำเลสิคไปแล้ว 4 ล้านคน เหตุผลเหมือนกันเลยคือ..ไม่อยากใส่แว่น" ตรงกันข้ามบางคนอาจคิดว่า ใส่แว่นแล้วดูคงแก่เรียน และน่าเชื่อถือก็มี

อย่าลืมกินผักกันมากๆ ตอนแก่แล้วจะได้ยังมีสายตาดีอยู่ 55555555555

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

"วิธีรักษาความจำ"

1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ :: น้องๆจะต้องเลือกอาหารที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัวและอุดมไปด้วยผักผลไม้ ที่สำคัญต้องทานปลาเป็นประจำ ดื่มนมให้เหมาะตามวัย ซึ่งจะช่วยบำรุงสมองและบำรุงความจำได้ และน้องๆ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดด้วยนะคะ

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ :: จำไว้ให้ขึ้นใจเลยนะคะว่า น้องๆ จะต้องออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพราะการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองดีขึ้น เมื่อสมองแข็งแรงจะส่งผลให้การจำแม่นยำขึ้นด้วยค่ะ

3. พักผ่อนให้เพียงพอ :: น้องๆ จะต้องนอนวันละ 7-8 ชั่วโมง เพราะจะทำให้เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้และความจำค่ะ เคยได้ยินเค้าว่ากันว่า ความบกพร่องด้านการจำและการเรียนรู้ อาจเกิดขึ้นได้เมื่อนอนไม่เพียงพอ หรือแม้อดนอนเพียงคืนเดียว

4. ใช้ความคิด :: น้องๆ สามารถทำได้โดยการบริหารสมอง เช่น การเล่นหมากรุก หมากล้อม เล่นเกมคอร์สเวิร์ด ฯลฯ กิจกรรมพวกนี้จะช่วยให้เซลล์สมองเจริญเติบโตมากขึ้น ความสามารถในการจำก็จะดีขึ้นด้วย ตรงกันข้าม การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ


น่าจะลองนำไปปฏิบัติดูนะคะ ปิดเทอมนี้สมองของเราจะได้แข็งแรงและมีความจำที่ดีเยี่ยม