วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

สิ่งดีๆที่คุณอาจเผลอลืมมันไป










ที่มา:เวป เด็กดี

พระมหาเทวีจิรประภา เจ้าผู้ครองประเทศล้านนา

พระมหาเทวีจิรประภา เจ้าผู้ครองประเทศล้านนา


เป็นคำเรียกผู้ที่เป็นพระมเหสีของกษัตริย์รัชกาลก่อน และเป็นพระมารดาของกษัตริย์รัชกาลต่อมา) เป็นมเหสีของพญาเกศ หรือพญาเกศเชษฐราช กษัตริย์ราชวงศ์มังรายลำดับที่ 12 และ ลำดับที่ 14 (เพราะครองราชย์ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2068-2081 และครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2086-2088) มีโอรส 2 องค์ คือ ท้าวชาย หรือซายคำ และเจ้าจอมเมือง



เมื่อ พญาเกศครองราชย์ครั้งแรกนั้น พระองค์มีนโยบายที่จะรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ขุนนางกลุ่มหนึ่งซึ่งมีหมื่นสามล้านเป็นผู้นำไม่พอใจ ขุนนางกลุ่มนี้จึงคิดก่อการกบฏ แต่พญาเกศทรงทราบเสียก่อน หมื่นสามล้านถูกประหารชีวิต จึงยิ่งเพิ่มความขัดแย้งมากขึ้น กระทั่ง พ.ศ.2081 พญาเกศก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งกษัตริย์และถูกส่งไปครองเมืองน้อย ส่วนเมืองเชียงใหม่นั้นขุนนางได้ตั้งท้าวชายขึ้นเป็นกษัตริย์แทน แต่พระองค์ครองราชย์ได้เพียง 6 ปี ก็ถูกปลงพระชนม์ เมื่อ พ.ศ.2086 แล้วขุนนางก็ไปเชิญเสด็จพญาเกศมาปกครองเมืองเชียงใหม่ อีกครั้งหนึ่ง แต่อีก 2 ปีต่อมา คือ พ.ศ.2088 พญาเกศก็ถูกขุนนาง ซึ่งมีแสนคราวเป็นผู้นำปลง พระชนม์



ในช่วงที่แผ่นดินล้านนาว่าง กษัตริย์นี้ บ้านเมืองมีแต่ความวุ่นวาย ขุนนางแตกแยกเป็นหลายกลุ่ม และต่างก็แย่งชิงอำนาจกัน โดยพยายามสนับสนุนคนของตนขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ในที่สุดกลุ่ม เชียงแสน ซึ่งประกอบด้วย เจ้าเมืองเชียงแสน เจ้าเมืองเชียงราย เจ้าเมืองลำปาง และเจ้าเมืองพาน สามารถกำจัดกลุ่มแสนคราวได้ จึงได้ไปเชิญเสด็จพระไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจักรล้านช้าง มาเป็นกษัตริย์เชียงใหม่



พ.ศ.2088 ระหว่างรอการเสด็จมาของพระไชยเชษฐาอยู่นี้ บรรดาขุนนางได้เชิญมหาเทวี จิรประภาขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองเชียงใหม่ สันนิษฐานว่าขณะนั้นพระนางคงมีพระชนมายุราว 45 ชันษา



พ.ศ.2088 พระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยายกทัพมาตีเชียงใหม่ มหาเทวีเห็นว่าจะสู้ ไม่ได้ จึงใช้ยุทธวิธีแต่งบรรณาการไปถวายและต้อนรับด้วยสัมพันธไมตรี โดยเชิญเสด็จพระไชยราชาประทับที่เวียงเจ็ดลิน ทำให้เชียงใหม่รอดพ้นจากภัยสงครามไปได้



ต่อมา ในปลายปีนั้นเอง กองทัพจากเมืองนายและเมืองยองห้วยยกมาตีเชียงใหม่ มหาเทวีสั่งให้กองทัพเชียงใหม่สู้ศึกเต็มที่ ข้าศึกล้อมเชียงใหม่นานเดือนเศษ จึงล่าถอยไป



เนื่องจากในช่วงปีนี้มี ข้าศึกยกทัพมาประชิดถึง 2 ครั้ง ทำให้มหาเทวีต้องขอกำลังจาก ล้านช้างให้มาช่วย ซึ่งกองทัพล้านช้างก็ได้ช่วยทำศึกอย่างเต็มความสามารถ โดยใน พ.ศ.2089 พระไชยราชาได้ยกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่และลำพูนอีก มหาเทวีพยายามเจรจาขอเป็นไมตรี แต่ ไม่สำเร็จ เมืองลำพูนถูกตีแตก ในขณะที่เมืองเชียงใหม่สามารถต้านทัพอยุธยาไว้ได้ กองทัพอยุธยาจึงล่าถอยไป



ปลาย ปี พ.ศ.2089 หลังศึกสงครามกับอยุธยา เมื่อพระไชยเชษฐาธิราชเสด็จมาถึงเชียงใหม่ มหาเทวีจิรประภา ในฐานะผู้รั้งเมือง จึงทรงสละราชสมบัติทันที และเมื่อพระไชยเชษฐาเสด็จกลับเพื่อไปครองล้านช้าง ในปี พ.ศ.2090 พระองค์หวังจะให้มหาเทวีรักษาเมืองอีกครั้ง แต่พระนางปฏิเสธ

ไม่ ปรากฏในหลักฐานใดๆ ว่ามหาเทวีจิรประภาสิ้นพระชนม์เมื่อใด อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่า แม้จะเป็นเวลาเพียงปีเศษ ที่พระนางได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ แต่พระนางก็สามารถรักษาเมืองให้รอดพ้นจากภัยพิบัติได้ ทั้งนี้ก็พราะความรู้ความสามารถของพระนางนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

ตำนานป็อปคอร์น




ชาวอินเดียนแดง ชนพื้นเมืองอเมริกันเป็นชนกลุ่มแรกที่กินข้าวโพดคั่วเมื่อกว่า 5,600 ปีที่แล้ว โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสไปพบหลักฐานสำคัญเป็นข้าวโพดคั่วในซากเมืองโบราณหลายแห่ง เช่น เมืองอินคาในอเมริกาใต้ โดยพบหม้อดินปั้นพิเศษสำหรับคั่วข้าวโพด

สันนิษฐานว่าวิธีทำข้าวโพดคั่วสมัยก่อนคือฝังหม้อในทรายที่ร้อนจัดจากนั้นโรยเมล็ดข้าวโพดลงไปแล้วปิดฝา ความร้อนจากทรายทำให้ข้าวโพดแตกกลายเป็นข้าวโพดคั่ว


นอกจากนี้ยังพบว่ามีการนำข้าวโพดคั่วมาร้อยเป็นเครื่องประดับสำหรับหัวหน้าเผ่าหรือนักรบ แม้แต่ในเม็กซิโกปัจจุบันยังมีการนำพวงข้าวโพดคั่วมาประดับเทวรูปด้วย

ข้าวโพดคั่วแพร่หลายเข้ามาในยุโรปราวศตวรรษที่ 15 โคลัมบัสนักสำรวจและนักเดินเรือชาวอิตาลี ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา บันทึกไว้ว่าชาวอินเดียนแดงนำช่อดอกไม้และเครื่องประดับศีรษะที่ทำด้วยข้าวโพดคั่วมาขายลูกเรือของตน

ในปลายศตวรรษที่ 19 อเมริกาเป็นประเทศแรกที่มีการจำหน่ายข้าวโพดคั่วเป็นธุรกิจ ข้าวโพดที่จะนำมาทำข้าวโพดคั่วต้องเป็นพันธุ์พิเศษโดยเฉพาะ เรียกว่า Zea mays L. Var. everta เมล็ดมีเปลือกแข็ง แต่เนื้อในเมล็ดนุ่ม เครื่องทำข้าวโพดคั่วเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1885 โดยนายชาลส์ เครเตอส์ ชาวเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ต่อมาปี 1925 มีการผลิตเครื่องคั่วข้าวโพดแบบไฟฟ้าเป็นผลสำเร็จ ลักษณะเป็นเครื่องแก้วและเครื่องไฟฟ้าสีโครเมียม ทำให้ข้าวโพดคั่วได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นไปอีก



เมื่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกาเติบโตในช่วงศตวรรษที่ 20มีการเปิดโรงภาพยนตร์หลายแห่ง และมีการนำเครื่องทำข้าวโพดคั่วไปทำข้าวโพดคั่วขายให้แก่ผู้เข้าชมในโรงด้วย โดยเริ่มนำมาขายในปี 1912 เป็นต้นมา ทำให้ข้าวโพดคั่วกลายเป็นสัญลักษณ์ควบคู่กับความบันเทิงในรูปแบบนี้จนกระทั่งปัจจุบัน และเมื่อโทรทัศน์เริ่มแพร่่หลาย การกินข้าวโพดคั่วหน้าจอโทรทัศน์ก็ยังเป็นที่นิยมของชาวอเมริกันด้วย